อาชญากรรม | เร่งขมวดปมคดี‘บิลลี่’ พิสูจน์จุดฆ่า-เผาโหด รูปปี59-ปรากฏถังชัด รื้อสำนวนตร.เทียบ

คืบหน้าเป็นลำดับ สำหรับการคลี่คลายคดีฆาตกรรม บิลลี่–พอละจี รักจงเจริญ แกนนำนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก–บางกลอย

ที่เปลี่ยนจากคดีคนหาย เป็นคดีฆาตกรรม หลังจากที่ ดีเอสไอได้หลักฐานสำคัญเป็นเศษชิ้นส่วนกระดูกภายใน ถังน้ำมัน 200 ลิตร

เมื่อตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ ก็ยืนยันได้ชัดเจนว่าเชื่อมโยงกับแม่ของบิลลี่ ในขณะที่พี่น้องทุกคนยังมีชีวิตปกติ เป็นที่ยืนยันว่าบิลลี่เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้นทุกอย่างก็เริ่มชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นจุดเผาที่ เจ้าหน้าที่รู้แล้วว่าเป็นจุดไหน เหลือแค่จยย.ที่หายไปพร้อมกันที่กำลังเร่งค้นหา

รวมทั้งสำนวนสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจบช.ภาค 7 ที่ยืนยันชัดเจนว่าไม่พบการปล่อยตัวบิลลี่ จากการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่อุทยาน

ประกอบกับภาพถ่ายของนักท่องเที่ยว เมื่อปี 2559 จุดสะพานแขวนอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่ติดถังบิลลี่อยู่ด้วย

ก็ยิ่งย้ำได้ชัดเจนว่าถังดังกล่าวอยู่มาก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีใครเพิ่งมาหย่อนไว้ในน้ำ

เหลือก็แค่รวบรวมพยานหลักฐานเข้าด้วยกัน

เอาผิดฆาตกรโหดให้ได้!??

❒ ภาพปี 59 ย้ำชัดเจอถังบิลลี่

หลังจากที่ดีเอสไอค้นพบถังน้ำมัน 200 ลิตร พร้อมเศษกระดูกกว่า 20 ชิ้น ตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ พบว่าเชื่อมโยงกับแม่ของบิลลี่ ขณะที่พี่น้องของบิลลี่ทั้งหมดยังไม่มีใครเสียชีวิต จึงเชื่อได้ว่ากระดูกดังกล่าวเป็นของบิลลี่ พอละจี ที่ถูกคนร้ายฆ่าทิ้งแล้วนำศพมาเผาอำพราง ทำให้คดีคนหายกลายเป็นคดีฆาตกรรม

เป็นเหตุให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ผู้ที่ควบคุมตัวบิลลี่เป็นคนสุดท้ายเมื่อ 5 ปีก่อน ออกมาชี้แจงว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว พร้อม ระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เปิด ใกล้ที่ทำการอุทยานฯ แก่งกระจาน มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน พร้อมตั้งคำถามว่าใครจะกล้าลงมือเช่นนั้น

รวมทั้งนำภาพถ่ายทางอากาศ ระบุว่าเมื่อปี 2559 สภาพน้ำในเขื่อนแก่งกระจานแห้งมากจนสามารถเดินข้ามได้ เหตุใดไม่มีใครเห็นถังดังกล่าวอยู่ในจุดที่ดีเอสไอพบ

ต่อมาวันที่ 6 ก.ย. มีนักท่องเที่ยวโพสต์รูปสะพานแขวนในเขื่อนแก่งกระจาน พร้อมระบุว่าเป็นช่วงเดือนก.ย. 2559 ที่สภาพน้ำแห้ง ซึ่งปรากฏชัดเจนว่ามีถังน้ำมันอยู่ตรงจุดที่ ดีเอสไอพบ และมีอยู่มาก่อนหน้านี้

ดีเอสไอจึงนำภาพดังกล่าว พร้อมเชิญนักท่องเที่ยวที่เห็นเหตุการณ์มาสอบสวนเพื่อเก็บเป็นพยานหลักฐานต่อไป

ขณะที่การสอบสวนด้านอื่นๆ ก็คืบหน้าอย่างมีลำดับ เจ้าหน้าที่สามารถได้พยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทำให้สามารถเชื่อมโยงเรื่องดังกล่าวได้มากขึ้น

ล่าสุดสามารถรู้จุดฆ่าเผาบิลลี่ แต่พื้นที่ดังกล่าวมีงูชุกชุม เลยต้องประสานกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ เพื่อนำเข้าสำรวจ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการค้นหาจักรยานยนต์ของบิลลี่ ที่ขี่ไปในวันที่หายตัวว่าอยู่ที่ใดกันแน่ เชื่อว่าหากได้จยย.ดังกล่าวจะสามารถตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์เพื่อเชื่อมโยงกลุ่มคนร้ายได้

ส่วนระหว่างการสืบสวน อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีคำสั่งโยกย้าย พนักงานข้าราชการกับลูกจ้างประจำ 4 ราย ที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะจับกุมนายบิลลี่ เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 ออกนอกพื้นที่อุทยานฯ แก่งกระจาน โดยสั่งให้ออกนอกพื้นที่ไปอยู่พื้นที่อื่น

แต่ไม่รวมนายชัยวัฒน์ เพราะปัจจุบันนายชัยวัฒน์เป็นผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อุบลราชธานี และการ โยกย้ายเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง

นอกจากนี้ดีเอสไอยังสั่งบันทึกคำให้สัมภาษณ์ของนายชัยวัฒน์ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย

จะเชื่อมโยงอย่างไรคงต้องติดตาม

❒ สำนวนตร.ไม่พบจนท.ปล่อยตัว

อย่างไรก็ตามยังมีสำนวนสืบสวนของบช.ภาค 7 เมื่อ 5 ปีก่อนในคดีคนหาย ซึ่งสรุปในสำนวนว่าไม่พบการปล่อยตัว บิลลี่จากการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน

โดยเช็กจากกล้องวงจรปิด 4 จุด ประกอบด้วย จุดที่ 1 จุดพุไทร พบมีรถเพียงคันเดียวที่เป็นของอุทยาน ผ่านไปที่ด่านมะเร็ว ในเวลา 16.02 น. และกลับออกมาในเวลา 16.17 น. และมีรถของเจ้าหน้าที่ประจำด่านตามออกมาในอีก 3 นาที เวลา 16.20 น. นำมาประกอบคำให้การที่เจ้าหน้าที่อุทยานยอมรับว่า ควบคุมตัวบิลลี่ไว้บนรถคันนี้ ซึ่งรถคันนี้เป็นรถที่นายชัยวัฒน์ใช้

2.จุดคุ้มนางพญา พบภาพรถอุทยานคันนี้ผ่านกล้องในเวลา 16.43 น. เส้นทางของรถมุ่งไปทางด่านสามยอด ทางขึ้นเขาพะเนินทุ่ง ซึ่งขัดกับคำให้การของนายชัยวัฒน์ ที่อ้างว่า กลับบ้านที่ไร่ชัยราชพฤกษ์ ซึ่งอยู่คนละทาง และกล้องคุ้มนางพญายังจับภาพได้ว่า รถคันนี้วิ่งผ่านกลับมาในเวลา 19.50 น.

3.จุดร้านสมร จับภาพรถอุทยานคันเดียวกัน วิ่งผ่านในเวลา 20.05 น. แต่กลับไม่มีภาพของบิลลี่ ที่อ้างว่าถูกปล่อยตัวเลย 4.จุดหนองปืนแตก ซึ่งเป็นจุดทางกลับไปไร่ชัยราชพฤกษ์ ของนายชัยวัฒน์ ตามคำให้การของพยาน แต่กลับไม่พบภาพรถของอุทยานขับผ่านจุดนี้เลยแม้แต่คันเดียว

นอกจากนี้จากการจำลองเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นตาม คำให้การของพยาน ก็พบความขัดแย้งทั้งเรื่องช่วงเวลา และจุดที่อ้างว่าปล่อยตัวบิลลี่ จนมีพยานบางปากกลับคำให้การ

แต่เมื่อ 5 ปี ก่อนไม่พบสิ่งที่บ่งชี้ว่าบิลลี่เสียชีวิต คดีนี้เลยกลายเป็นคดีคนหาย ที่ระบุว่าไม่ได้ถูกปล่อยตัวตามที่กล่าวอ้าง

จนมาวันนี้กลายเป็นคดีฆาตกรรม ที่ดีเอสไอรับผิดชอบ และต้องรื้อสำนวนคดีเก่ามาเทียบเคียง

ซึ่งคาดว่าคงไม่นาน ก็น่าจะจับกุมคนผิดมาดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน

❒ เด้งดาบเท่ง–เอาผิดยุ่งเหยิงพยาน

ขณะที่นายชัยวัฒน์ มอบหมายให้นายวินัย บัวศรี หัวหน้ากลุ่มงานกฎหมาย สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 จ.อุบลราชธานี เข้าแจ้งความดำเนินคดีที่สภ.เมืองอุบลราชธานี พร้อมนำหลักฐานเป็นซีดี บันทึกเสียงการสนทนา ความยาวประมาณ 11.30 นาที

อ้างว่าเป็นเสียงการสนทนาระหว่างภรรยาเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี กับดาบเท่ง หรือด.ต.พงศ์ษาวดี ไทยกูล ผบ.หมู่ กก.สส.1 บก.สส.ภาค 7

โดยเนื้อหาในซีดีบันทึกเสียง ระบุว่า ขอให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานคนดังกล่าว ให้การปรักปรำนายชัยวัฒน์ เป็นตัวการฆ่านายบิลลี่ หรือนายพอละจี เพื่อจะกันตัวเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไว้เป็นพยาน แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ก็จะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าอุทยาน

ซึ่งนายชัยวัฒน์ เห็นว่า กรณีดังกล่าวมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานและขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ และเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยในชีวิต สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล และเป็นการให้ความคุ้มครองพยานบุคคล จึงได้มอบหมายให้นายวินัยนำเรื่องมาแจ้งความลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ใช้เป็นหลักฐานประกอบการรายงานผู้บังคับบัญชาระดับสูง ในการขอความคุ้มครองพยานต่อไปในวันนี้

ต่อมาพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. ระบุว่า พล.ต.ท.ธนา ชูวงษ์ ผบช.ภาค 7 สั่งให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน บช.ภาค 7 ตรวจสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ และรับฟังเป็นข้อยุติได้ส่วนหนึ่งว่า ด.ต.พงศ์ษาวดี เป็นผู้เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว ให้การยอมรับว่าเป็นผู้โทรศัพท์สนทนาพูดคุยกับนางรัตน์ ดาวรรณ หรืออร บุษราคัม ภรรยานายบุญแทน บุษราคัม อดีตเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

ข้อเท็จจริงตามบทสนทนาเป็นการพูดคุยกันตามที่ปรากฏทางสื่อ ถ้อยคำข้อความที่ปรากฏก็มีลักษณะเป็นการพูดคุยซักถามในฐานะคนรู้จักสนิทสนมกัน มากกว่าการข่มขู่ตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าการกระทำของ ด.ต.พงศ์ษาวดี มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง

ล่าสุดพล.ต.ต.สงวน โรงสะอาด ผบก.สส.ภาค 7 สั่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการทางวินัย พร้อมมีคำสั่งให้ด.ต.พงศ์ษาวดี ไปปฏิบัติราชการยังศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน บช.ภาค 7

ยืนยันไม่ให้ฝ่ายไหนก็ตามมายุ่งเหยิงพยานหลักฐาน

เพื่อให้คดีเดินหน้าไปได้อย่างสมบูรณ์