ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 มกราคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | วางบิล |
เผยแพร่ |
ระหว่างเข้าไปเรียนที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทา และมีโอกาสพบพี่เสถียร จันทิมาธร ซึ่งเรียนชั้นปีที่ 4
การได้พบกันเพียงปีแรก เกิดประโยชน์หลายสถานกับผม
ขณะที่ทั้งพี่เสถียร กับ ขรรค์ชัย บุนปาน มักจะคุยกันเรื่องของหนังสือและคนเขียนหนังสือที่ทั้งสองคนอ่านกันมานักต่อนัก
ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนไทย หรือนักเขียนต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น หรือปรัชญา
โดยเฉพาะนักเขียนต่างประเทศ เช่น อัลแบร์ กามูร์ ซอมเมอร์เซ็ต มอม กีย์ เดอโมปัสซังต์ รวมถึงนักปรัชญา อาทิ อริสโตเติล โสเครติส คาร์ล มาร์กซ์ ซึ่งผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เว้นแต่นักเขียนประเภทเรื่องสั้นบางคนที่เคยอ่านงานแปลประเภทเรื่องสั้น “หักมุม” ของ โอ เฮนรี่
ทำให้ผมมีความรู้งูๆ ปลาๆ ไปกับเขาด้วย ทั้งเป็นเหตุให้ผมศึกษาเรียนรู้เรื่องของปรัชญาหลังจากนั้นอีกสองสามปี
พี่เสถียร จันทิมาธร เป็นผู้หนึ่งที่ผลักดันให้ผมมีตำแหน่งเป็นรองประธานชมรมภาษาไทย จึงทำให้มีโอกาสร่วมจัดทำหนังสือของวิทยาลัยครูสวนสุนันทา “แก้วเจ้าจอม” (หากจำไม่ผิด)
ครั้งหนึ่ง เมื่อทำหนังสือของโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ขรรค์ชัย เขียนเรื่องสั้นในชื่อ “แดงกับความเวิ้งว้าง” มาครั้งนี้ มีโอกาสได้ทำหนังสือของวิทยาลัยครูสวนสุนันทา ขรรค์ชัย เขียนเรื่องสั้นชื่อ “ครูสุนันท์” ซึ่งเป็นชื่อของเพื่อนที่เรียนด้วยกันคนหนึ่ง
เรื่องนี้จบลงหลังจากที่เพื่อนครูสุนันท์พาครูสุนันท์นั่งเรือมาส่งที่โรงพยาบาลศิริราช จากอาการป่วยด้วยอะไรลืมไปแล้ว ครูที่พามาไปยืนหน้าพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระบิดา เงยหน้าขึ้นพูดว่า “อุดมคติต้องกินหลังอาหารใช่ไหมครับท่าน”
เหตุเพราะด้วยอุดมการณ์ความเป็นครู ทำให้ครูสุนันท์และตัวละครผู้ชายอาสาไปเป็นครูที่โรงเรียนห่างไกลความเจริญแห่งหนึ่งในอำเภอบางขุนเทียน
เมื่อได้เป็นรองประธานชมรมภาษาไทย ต่อมาเมื่อเรียนในชั้นสูงขึ้น มีโอกาสร่วมทำหนังสือของชมรมและของวิทยาลัย ปีต่อมา เรียนปีที่ 2 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมสอบไม่ผ่าน ด้วยเหตุที่วิชาฝึกสอนซึ่งเป็นวิชาสำคัญของการเรียนวิชาครู
มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่ไม่ผ่านการฝึกสอน
บันทึกไว้ตรงนี้ว่า การฝึกสอนของการเรียนฝึกหัดครูขณะนั้น (หรือแม้ขณะนี้) มีการฝึกสอนสองประเภท คือการฝึกสอนโรงเรียนในเมือง (กรุงเทพฯ) กับการฝึกสอนในโรงเรียนนอกกรุงเทพฯ เรียกว่า “ฝึกสอนชนบท”
สำหรับนักศึกษาปีที่ 2 และปีที่ 4 คือปีที่ 2 สอนชั้นประถมศึกษา ซึ่งขณะนั้นมีถึงชั้นประถม 4 และปีที่ 4 สอนชั้นมัธยมน่าจะตั้งแต่ ม.1-ม.6 ตั้งแต่ภาคเรียนแรกถึงภาคเรียนที่สาม
ทั้งสองคนคือ พันธ์ศักดิ์ ธีรสานต์ จากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ มาสอบเข้าที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทาพร้อมกันกับ ขรรค์ชัย บุนปาน สมัครออกไปฝึกสอนชนบทในโรงเรียนแถบจังหวัดนนทบุรี ซึ่งขณะนั้นนับว่าไกลพอสมควร ต้องกินนอนที่โรงเรียน กลับกรุงเทพฯ ได้ในวันเสาร์อาทิตย์
ส่วนผมไม่ชอบออกนอกกรุงเทพฯ ทางวิทยาลัยจึงส่งไปสอนที่โรงเรียนวัดอินทาราม สี่แยกบางขุนพรหม ผมออกสอนภาคเรียนสอง
สอบฝึกสอนตกไม่เป็นท่า ไม่ใช่เพราะสอนไม่ดี แต่เพราะสอนไม่ครบเวลาที่กำหนด คือ 1 ภาคเรียน ผมไปสอนเพียงครึ่งภาคเรียน
แล้วทำไมครูที่ควบคุมการสอนจะให้ผ่าน
การเรียนในภาคเรียนสุดท้ายของปีที่สอง ผมมีโอกาสร่วมจัดทำหนังสือรุ่นให้รุ่นตัวเอง และมีโอกาสให้ร่วมจัดทำหนังสือรุ่นให้กับรุ่นต่อมาอีกรุ่นหนึ่ง
เป็นอันว่าต้องเรียนซ้ำปี 2 อีกหนึ่งปี ตามระเบียบ ซึ่งตามระเบียบอีกเช่นกัน ที่มีกำหนดว่า ผู้ที่เรียนซ้ำชั้นต้องสอบผ่านทุกวิชาทั้งสามภาคเรียน หากตกวิชาใดวิชาหนึ่งต้อง “ออก”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมสอบตกวิชาภาษาอังกฤษในภาคเรียนที่สอง แต่ยังดันทุรังขอเรียนให้ครบปี
เพราะมีโอกาสช่วยงานทำหนังสือทั้งของวิทยาลัยและหนังสือรุ่นเต็มที่ รวมถึงเรียนรู้เรื่องการทำงานโรงพิมพ์เพิ่มเติม นับเป็นอีกบทเรียนหนึ่งของวิชาการหนังสือพิมพ์นอกห้องเรียน
(ต้องขออภัยผู้อ่านที่มิได้เรียงลำดับตามปีที่เกิดเหตุการณ์ เพราะต้องการเล่าเรื่องจากความจำเท่าที่จะทำได้ หากใครต้องการทราบถึงเหตุการณ์ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เอาไว้จะลองลำดับไว้ท้ายเรื่อง ดีไหมครับ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในภายหลัง)
โรงพิมพ์ที่ผมเข้าๆ ออกๆ จากการมีโอกาสทำหนังสือรุ่นของวิทยาลัยครูสวนสุนันทาคือโรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ ละแวกสี่กั๊กเสาชิงช้า (ในปีต่อมาได้มาเดินเข้าออกโรงพิมพ์ในละแวกนี้อีกหลายปี จากการทำนิตยสารช่อฟ้าที่โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ ถนนเฟื่องนคร ตรงข้ามวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ต่อมาเป็นสำนักงานแห่งที่สองของกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชนและประชาชาติธุรกิจ)
ละแวกสี่กั๊กเสาชิงช้า ละแวกถนนเฟื่องนคร ต่อเนื่องละแวกสี่กั๊กพระยาศรี คืออาณาบริเวณที่นักหนังสือพิมพ์รุ่นก่อนมาเดินเหินเข้าออกและทำหนังสือพิมพ์ อยากทราบว่ามีหนังสือพิมพ์อะไรบ้าง มีใครบ้าง ลองสอบถามไปที่ เอนก นาวิกมูล หรือหาหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องนี้น่าจะได้รับความรู้เพิ่มเติม รวมทั้งหนังสือชื่อ “พิมพการ” ที่สำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์
ช่วงนั้น “รงค์ วงษ์สวรรค์ กลับจากไปดูงานและเรียนรู้งานหนังสือพิมพ์ที่สหรัฐอเมริกา จึงมีโอกาสได้รู้จัก เพราะขรรค์ชัยแนะนำ เนื่องจากขณะนั้นกลุ่มนักเขียนละแวกหน้าพระลาน มี สุวรรณี สุคนธา เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง จึงเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
ผมจึงมีโอกาสรู้จักนักเขียนกลุ่มนี้ด้วย
หนังสือ เส้นทาง…คนหนังสือพิมพ์ บันทึกไว้ว่า
“ต่อมาอาจารย์ปั๋ง (ชื่อเล่นที่รู้จักและเรียกขานมากกว่าชื่อจริง) ต้องไปเกณฑ์ทหาร จึงเริ่มเขียนเรื่องสั้นชุด “ไอ้เณร” ของตัวเองไปพลาง และได้พบกับ “รงค์ วงษ์สวรรค์ พอพ้นจากชีวิตลายพรางได้ไปช่วยทำหนังสือรายเดือน “เดือนมีนามสกุล” ตั้งแต่ฉบับแรก”
ขณะเดียวกัน ยังเข้าเรียนวิชาการหนังสือพิมพ์ ตอนนั้นสังกัดแผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเปิดเป็นหลักสูตรประกาศนียบัตร 3 ปีให้บรรดานักข่าวนักหนังสือพิมพ์ได้มีโอกาสเรียนระดับมหาวิทยาลัย เมื่อสำเร็จประกาศนียบัตรแล้ว หากมีวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.8) จะได้ขึ้นเรียนในระดับปริญญาตรีต่อ
กระทั่งหนังสือรายเดือน “เดือนมีนามสกุล” หยุดไป เป็นช่วงเดียวกับ “สองกุมารสยาม” ถูกไล่ออกจากหนังสือพิมพ์สยามรัฐ
กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานหนังสือพิมพ์อย่างจริงจังของทั้งสองคนโดยระดมทุนจากพรรคพวกเพื่อนและคนรู้จัก ตั้งโรงพิมพ์คือ “โรงพิมพ์พิฆเณศ”