คนของโลก : ‘เดเมียน ชาเซลล์’ จากนักดนตรีขี้อายสู่ผู้กำกับสุดเนิร์ด

โดย เสกขภูมิ วรรณปก

 

แม้ว่าภาพยนตร์ของเขาจะเต็มไปด้วยท่าทีอวดเบ่งและวางก้าม แต่ผู้กำกับฯ เดเมียน ชาเซลล์ วัย 31 ปี เป็นคนขี้อายอย่างไม่ต้องสงสัย

และเขากำลังเผชิญกับแสงสปอตไลต์ที่สาดส่องมามากขึ้นในขณะที่หนังของเขาเดินหน้ากวาดรางวัลเพิ่มอย่างไม่หยุดหย่อน

ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ ชาเซลล์ “ลา ลา แลนด์” ซึ่งเป็นภาพยนตร์มิวสิคัลที่โอ่อ่า เล่าเรื่องในยุคปัจจุบันซ้อนอยู่บนฉากหลังที่เสมือนย้อนไปในยุคสมัยที่ฮอลลีวู้ดยังคงเงียบสงบ กวาดรางวัลจากเวทีโกลเดน โกลบส์ หรือ ลูกโลกทองคำ ไป 7 สาขาในงานประกาศผลที่จัดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา

มากกว่าภาพยนตร์เรื่องไหนๆ ในประวัติศาสตร์การมอบรางวัลบนเวทีแห่งนี้

AFP PHOTO / Frederic J. BROWN

แอน ธอมป์สัน นักวิจารณ์ภาพยนตร์อาวุโส บรรณาธิการของบล็อกภาพยนตร์อินดีไวร์ อธิบายถึงผู้กำกับภาพยนตร์ที่อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับรางวัลผู้กำกับฯ ยอดเยี่ยมของเวทีลูกโลกทองคำคนนี้ว่า เป็นนักสร้างหนังที่ไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับของนักวิจารณ์ แต่ยังได้รับความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมอาชีพอีกด้วย

“เดเมียน ชาเซลล์ เป็นเหมือน เควนติน ทาแรนติโน หรือ มาร์ติน สกอร์เซซี วัยหนุ่ม เป็น “เนิร์ด” ด้านภาพยนตร์ที่มีพรสวรรค์ ฉลาดหลักแหลม ผู้ซึ่งรู้เรื่องโครงสร้างของภาพยนตร์ในแบบดั้งเดิมมากเพียงพอที่จะแยกส่วนออกมาและประกอบขึ้นอีกครั้งด้วยวิธีการที่สดใหม่” ธอมป์สันบอก

“แต่เขาไม่ใช่คนโอ้อวด เขาต้องพยายามอย่างมากกว่าที่จะมาถึงจุดนี้”

และมีแนวโน้มว่าปีนี้จะเป็นปีที่น่าจดจำของชาเซลล์ จากการที่ผู้กำกับฯ ยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำทุกคนในรอบ 1 ทศวรรษหลังสุดคว้ารางวัลผู้กำกับฯ ยอดเยี่ยมบนเวทีประกาศรางวัลอคาเดมี อวอร์ดส์หรือออสการ์ได้สำเร็จ ยกเว้นเพียงแค่ เบน แอฟเฟล็ก เมื่อปี 2013 เท่านั้น

“ต้องใช้เวลา 6 ปี ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งหมดมันดูเหนือจริงมาก ที่จริงแล้วพูดได้ว่าฝันของผมเป็นจริงตั้งแต่วันแรกที่เริ่มถ่ายทำ ทั้งหมดนี้ยิ่งดูเหนือจริงมากว่าเดิม” ชาเซลล์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวหลังเวทีการประกาศรางวัลลูกโลกทองคำ

AFP PHOTO / Robyn BECK

ชาเซลล์ เกิดในรัฐโร้ดไอแลนด์ แม่ของเขา เซเลีย มาร์ติน เป็นนักเขียน ขณะที่ แบร์นาร์ ชาเซลล์ พ่อของเขาเป็นนักวิทยาการคอมพิวเตอร์ลูกครึ่งฝรั่งเศสอเมริกัน และเป็นแฟนเพลงแนวบลูส์และแจ๊ซตัวยง

ชาเซลล์ที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์มหากาพย์สงครามกลางเมืองสหรัฐปี 1989 เรื่อง “กลอรี” ของผู้กำกับฯ เอ็ดเวิร์ด ซวิก ตั้งใจที่จะเป็นผู้สร้างหนังมาโดยตลอด แต่หลังจากที่เขาได้เรียนการตีกลองแจ๊ซในชั้นมัธยมปลายทำให้เขาหลงใหลและฝึกฝนถึงวันละ 8 ชั่วโมง

จนกระทั่งเขาได้ศึกษาด้านทัศนวัฒนธรรมศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จึงได้ตระหนักว่าความต้องการที่แท้จริงของเขาคือการสร้างภาพยนตร์

ชาเซลล์ เขียนบท อำนวยการสร้าง ร่วมถ่ายทำและกำกับภาพยนตร์เรื่องยาวชิ้นแรกของเขาที่เป็นมิวสิคัลแนวแจ๊ซเรื่อง “กาย แอนด์ แมเดลีน ออน อะ พาร์ก เบนช์” ตั้งแต่ในขณะที่เขายังไม่จบการศึกษา

เขายังคงตีกลองขณะอยู่ที่ฮาร์วาร์ด โดยอยู่ในวงดนตรีเดียวกับ จัสติน เฮอร์วิตซ์ ที่กลายมาเป็นผู้ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่อง “ลา ลา แลนด์” และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเพลง “ซิตี้ ออฟ สตาร์ส”

แต่ชาเซลล์ยังคงได้รับความเจ็บปวดจากอาการประหม่าก่อนที่จะเริ่มต้นการแสดงบนเวทีจนต้องยอมรับว่าอาการตื่นกลัวของเขาจะเป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพนักดนตรี

 

ชาเซลล์เปิดเผยว่า เขายังคงประหม่าในการกำกับภาพยนตร์เช่นกัน และรู้สึกทึ่งในตัวของเหล่านักแสดง ที่รับมือกับความเครียดได้ดีกว่าตนเองมาก

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ของเขาในการเป็นมือกลองที่มีความทะเยอทะยาน เป็นแรงบันดาลใจให้ภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องที่ 2 ของเขาคือ “วิปแลช” ในปี 2014 ซึ่งเล่าเรื่องราวความพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างอาจารย์สอนตีกลองแจ๊ซผู้แข็งกร้าวกับนักเรียนของเขา

ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเดินหน้ากวาดรางวัลจากเทศกาลต่างๆ ได้เป็นจำนวนมากรวมถึงได้รางวัลออสการ์ 3 สาขา ขณะที่ชาเซลล์ได้เข้าชิงรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับฯ ยอดเยี่ยม

ชาเซลล์มีความปรารถนาที่จะสร้างภาพยนตร์มิวสิคัลมาโดยตลอด โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีเมื่อปี 2014 ถึงความโหยหายุคทองของภาพยนตร์มิวสิคัลคอเมดี้ในอดีตของตนเอง จนกลายมาเป็น ลา ลา แลนด์ ในที่สุด

ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของชาเซลล์คือ “เฟิร์สต์แมน” หนังชีวประวัติของ นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศผู้เหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก ซึ่งน่าจะเป็นหนังที่แตกต่างจาก ลา ลา แลนด์ โดยสิ้นเชิง

ที่อาจเป็นบทพิสูจน์สำคัญอีกครั้งของผู้กำกับฯ ดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งฮอลลีวู้ดรายนี้