มนัส สัตยารักษ์ | ฟื้นความจำ ความกังขาหลายคดีในอดีต

สู้โว้ย!!

เมื่อเร็วๆ นี้ผมคุยกับเพื่อนนักการเมืองอาชีพคนหนึ่งว่า อะไรคือ “แรงขับดัน” ที่ทำให้พวกนักการเมืองส่วนใหญ่ “สู้ถวายหัว” ในสงครามแย่งชิงอำนาจ…สู้เพื่อหาเสียงเป็น ส.ส. สู้เพื่อได้เป็นรัฐบาล และสู้เพื่อเก้าอี้แห่งอำนาจ ยอมเสียเงินเสียทอง เสียเพื่อนเสียพวก เสียชื่อเสียเสียง เสียอุดมการณ์ เสียสัจวาจา ฯลฯ เสียสารพัดเสีย จนบางรายกล่าวได้ว่ายอมเสียแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของความเป็นคน

มีน้อยคนที่จะหันหลังวางมือไปได้หมดจดอย่างพระภิกษุประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ (อดีต ส.ส.และอดีตรัฐมนตรี) ซึ่งเห็นได้ชัดว่าท่านไม่ได้บวชแก้บนหรือบวชเพื่อหนี ป.ป.ช.

“ไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนเห็นอยู่แล้วว่าหนีอาญาแผ่นดิน สู้ไปก็ไม่ได้กลับบ้าน แต่ยังยอมสู้ตายทั้งที่ควรจะวางมือหาความสุขสงบ”

“ไม่สู้สิตาย” เพื่อนว่า และให้อรรถาธิบายเพิ่มเติม “มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเขากั๊กเรื่องเอาไว้ต่อรอง ขืนวางมือก็เท่ากับพบจุดจบ…จบทั้งครอก”

ผ่านการเลือกตั้งและได้ตัวนายกรัฐมนตรีแล้วก็ยังตั้งคณะรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศไม่เสร็จหรือไม่สำเร็จ

และแล้วในระหว่างเวลาราว 100 วันของการพันตูเพื่อแย่งเก้าอี้แห่งอำนาจนั้น พวกเราประชาชนที่ไม่ได้สนใจการเมืองเท่าไหร่นักต่างก็ได้ทราบประวัติและเรื่องราวเบื้องหลัง ตลอดจนพฤติกรรมของบรรดาผู้ที่อยู่ใน “โผ” คณะรัฐมนตรี

บางเรื่องของเบื้องหลังทำให้เราเข้าใจคำว่า “ไม่สู้ก็ตาย” ดีขึ้น ทำให้เห็นใจว่าทำไมพวกนักการเมืองเขาถึงต้องคำรามอยู่ในใจเหมือนนักกีฬาในสนามว่า “สู้โว้ย!!”

สับสนและปั่นป่วนกับข่าว “โผรัฐมนตรี” เพราะหลายอย่างเป็นของแปลกใหม่ นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 ที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้พรรค พปชร.เป็นรัฐบาล (นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.พปชร. พูดยืนยันเองในวันเปิดสภา)

ประการที่ 2 รธน.เขียนปูทางให้หัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

กับประการที่ 3 ให้อำนาจ คสช.แต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน แล้วให้วุฒิสมาชิกทั้ง 250 คนมีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี

ข้อเท็จจริงจากพารากราฟข้างต้นเป็นของใหม่ (ในโลก) คือต้นเหตุแห่งความสับสนและปั่นป่วนในการจัดโผเก้าอี้รัฐมนตรีเกรดเอ ความสับสนและปั่นป่วนเกิดเฉพาะในแวดวงของพรรค พปชร.กับพวกที่เรียกตัวเองว่า “สามมิตร” เท่านั้น เพราะการรวมตัวกันของนักการเมืองใน พปชร.ก็เป็นวิธีการแปลกใหม่เช่นกัน

เจ้าตัวที่มีชื่อติดโผก็ยังสับสนใน “สถานะ” ของตัวเอง ว่าที่อุตส่าห์ทิ้งพรรคเทพวก (เดิม) มาหนนี้นั้น เป็นการมาใน “สภาวะ” ที่เสียสละมาเสริมทัพ หรือยอมให้ถูกดูดมาเพื่อต่อลมหายใจ…

กล่าวโดยสรุปแล้วก็ยังสรุป “สถานะ” ของตัวเองในปัจจุบันไม่ได้ ต่างสับสนว่ามาเป็นเจ้าหนี้มาทวงบุญคุณ หรือเป็นลูกหนี้มาตอบแทนบุญคุณกันแน่?!

ในนาทีที่รู้สึกว่าเป็นเจ้าหนี้ เมื่อไม่พอใจโผ ก็ออกมาแถลงข่าวว่าจะทบทวนการสนับสนุน นาทีใดที่ถูกขุดคุ้ยประวัติและเบื้องหลังในบทบาทที่ผ่านมาก็จะรู้สึกว่าถูกตามมาทวงหนี้ พอถูกบิ๊กตู่ขู่ “อย่าให้ผมแก้ปัญหาแบบเดิมที่ทุกคนไม่ต้องการ ถ้ายังทะเลาะกันเรื่องเก้าอี้ ครม.” เท่านั้นแหละ

ก็ลนลานยอมอยู่ในโอวาท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยังดำรงสถานะหัวหน้า คสช.อยู่ทันที แล้วก็เปลี่ยนคำพูดพลิกจากหลังเท้าเป็นหน้ามือทันควัน

ระยะเวลาถึง 100 วันหลังรู้ผลเลือกตั้งเป็นระยะเวลาที่นานพอที่ใครต่อใคร (โดยเฉพาะสื่อรุ่นเก่า) ต่างก็ฟื้นความจำได้ถึงเหตุการณ์บ้านเมืองกับความคลุมเครือและบิดเบี้ยว

นับตั้งแต่เรื่องเครื่องตรวจระเบิด GTX 9000 จำนวน 26 เครื่อง มูลค่า 2,608 ล้านบาท ติดตั้งที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่ง กลต.สหรัฐได้มีการสอบสวนการทุจริต มีผู้รับสารภาพถึงการ “ติดสินบนข้ามชาติ” แม้ว่าทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และอดีต รมว.คมนาคม ในยุคนั้น จะลอยนวล แต่ไม่มีใครลืม!

เรื่องถัดมาเป็นการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2548/2549 – 2552/2553 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) วงเงินลงทุน 96,355 ล้านบาท

เรื่องจัดซื้อเครื่องบิน thaitribune.org รายงานข่าวสำนักงานต่อต้านการทุจริต (SFO) ได้สอบสวนบริษัทโรลส์-รอยซ์ ระบุว่าการจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้งของสายการบินไทยในปี 2547 บริษัทได้ติดสินบนเงินจำนวนหนึ่งเพื่อจูงใจให้การบินไทยซื้อเครื่องบินพร้อมเครื่องยนต์ เพิ่มเติมจากเดิม ส่วนแบ่งของเงินจำนวนนี้ได้ส่งต่อไปยังคนในรัฐบาลไทยปลายปี 2547

อย่างไรก็ตาม ในรายงานการสอบสวนของ SFO มิได้ระบุชื่อบุคคลฝ่ายไทยที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงถือว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคมนาคมและเป็นผู้นำเสนอเรื่องดังกล่าวเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ไม่มีใครลืมเช่นกันเพราะประเทศเสียหายมหาศาล!

เรื่องที่ยังไม่มีการกล่าวหาและยังไม่มีการสอบสวนแต่เป็นเรื่องที่คนไทยยังคาใจ นั่นคือเรื่อง “ขายหุ้น ปตท.” ในโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

ครั้งที่บริษัท ปตท.เปิดขายหุ้นเมื่อพฤศจิกายน ปี 2544 ในสมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ปรากฏว่ามีชื่อหลานชายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ที่คุม ปตท. ได้รับจัดสรรหุ้นไป 2.2 ล้านหุ้น มูลค่า 77 ล้านบาท

ขณะที่หุ้น ปตท.ถูกจองหมดเกลี้ยงในเวลาเพียง 1.07 นาที (หรือ 67 วินาที) นับเป็นสถิติของตลาดหุ้นอย่างมีข้อกังขา ซึ่งทำให้นายสุริยะถูกโจมตีอย่างหนักในสภาถึงความไม่ชอบมาพากล

อันที่จริงจำนวนหุ้นทั้งหมดมีถึง 2,800 ล้านหุ้น หลานชายของนายสุริยะจองได้ 2.2 ล้านหุ้น และความไม่ชอบมาพากลมาจากความผิดพลาดของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นแม่ข่ายคอมพิวเตอร์ร่วมกับธนาคารอีก 4 แห่ง

ขณะเดียวกันก็มีผู้ใหญ่ของการพลังงานที่น่าเชื่อถือ ยืนยันว่าการขายหุ้น ปตท. 920 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 35 บาท รวมมูลค่า 32,200 ล้านบาทในครั้งนั้นมีความโปร่งใส มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ตรงตามนโยบายของ IMF และที่สำคัญเป็นส่วนให้รัฐวิสาหกิจของประเทศเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ และพ้นเงื้อมมือของนักการเมืองอย่างถาวร

ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรมแก่นายสุริยะ แกนนำกลุ่มสามมิตรที่มีปัญหาเรื่องเก้าอี้ ครม.ก็ควรเปิดโอกาสให้เขาได้พิสูจน์และป้องกันชื่อเสียงของตัวเอง เท่ากับที่เปิดโอกาสให้เขารักษาผลประโยชน์ที่หลานหรือกงสีของเขาควรได้

ข่าวล่ามาเรือเกลือ…บิ๊กตู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่วางมือจากตำแหน่ง “หัวหน้า คสช.” สามารถสยบความปั่นป่วนเรื่องเก้าอี้ รมต.ลงได้แล้ว และประกาศพร้อมเดินหน้าทำงานต่อไป

รัฐบาลผสมหลายพรรคและหลายพวก มีแง่มุมส่วนดีสำหรับประชาชนก็คือ เหมือนไก่เห็นตีนงูและงูเห็นนมไก่ แต่เราไม่กลัวและไม่รังเกียจการระแวง การตรวจสอบ และการคอยจับผิดซึ่งกันและกันของ ครม.พันธุ์เขี้ยว (ทั้งเก่าและใหม่จาก คสช.1)

เรากลัวการร่วมมือร่วมใจกันสามัคคีแล้วใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อ “ลอยนวล” มากกว่า