“กสม.”โต้ ฮิวแมนไรท์วอทช์ ไม่เป็นธรรม ชี้ การจำกัดเสรีภาพก่อนเลือกตั้งไม่เป็นความจริง

“กสม.”โต้รายงานฯฮิวแมนไรท์วอทช์ ชี้ หลายประเด็นยังไม่ถูกต้อง-ไม่เป็นธรรม แจง ปมจำกัดเสรีภาพก่อนเลือกตั้งไม่เป็นความจริง-ปัจจุบันมีเลือกตั้งแล้ว

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ได้เผยแพร่คำชี้แจงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ 1/2562 กรณีองค์กรฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ (HRW) เผยแพร่รายงานสรุปสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ครั้งที่ 29 ประจำปี 2562 ซึ่ง กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รายงานดังกล่าวมีการระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่อาจไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม โดยในภาพรวม กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รายงานสรุปสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนดังกล่าวเป็นรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงปี 2561 ซึ่งบางเรื่องมีข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม อาทิ ประเด็นเกี่ยวกับการบังคับบุคคลให้สูญหายและการทรมาน กรณีเหตุการณ์ประท้วงทางการเมืองในปี 2553, การแก้ไขกฎหมายที่ทำให้ กสม. ขาดความเป็นอิสระในการทำหน้าที่, กรณีความรุนแรงและการปฏิบัติที่มิชอบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกรณีนโยบายปราบปรามยาเสพติด ซึ่งประเด็นเหล่านี้กสม.เคยมีการชี้แจงไปแล้วก่อนหน้านี้

นอกจากนั้นยังมีเนื้อหาในรายงานสรุปสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนฯ ส่วนอื่นที่ กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า มีบางเรื่องที่รายงานข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม คือ ประเด็นเสรีภาพในการแสดงออก กรณีที่รายงานว่า รัฐบาลชะลอการยกเลิกมาตรการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างเข้มงวด ทั้งที่มีการประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้งได้มีคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 22/2561 เรื่อง การให้ประชาชนและพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งมีผลให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. จำนวนหลายฉบับ รวมทั้งการยกเลิกความผิดฐานมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนขึ้นไปตามข้อ 12 ของคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ทำให้ประชาชนและพรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ และปัจจุบันก็มีการเลือกตั้งแล้ว หรือกรณีที่รายงานว่านักเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างน้อย 130 คน ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดถูกดำเนินคดีในข้อหาชุมนุมอย่างผิดกฎหมาย และบางคนถูกดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่นจากการเรียกร้องอย่างสงบ ให้รัฐบาลทหารจัดการเลือกตั้งโดยไม่ให้มีการชะลอออกไป และให้ยกเลิกมาตรการจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐานโดยทันที ซึ่งจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2561 ได้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 12 ทำให้ศาลจำหน่ายคดีในข้อหาชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

นอกจากนี้จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย พบว่าในบางกรณีที่รัฐสกัดกั้นการชุมนุม ผู้จัดการชุมนุมได้ขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดีเพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เช่น การจัดกิจกรรม “We Walk…เดินมิตรภาพ” เป็นผลให้กิจกรรมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้จนแล้วเสร็จ เป็นต้น

ส่วนประเด็นผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และแรงงานข้ามชาติ กรณีที่รายงานว่ามีการจับและควบคุมตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยกว่า 200 คนจากเวียดนาม กัมพูชา และปากีสถานในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่มีสภาพเลวร้าย มีการแยกเด็กกว่า 50 คน ออกจากพ่อแม่นั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในประเด็นแยกเด็กออกจากพ่อแม่นั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องการกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2562 เพื่อไม่ให้มีการคุมขังเด็กในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกำหนดแนวทางปฏิบัติงานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการไม่กักตัวเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีไว้ในสถานกักตัวฯ

และกรณีที่รายงานว่าสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย (NFAT) ซึ่งมีอิทธิพลได้รณรงค์ต่อต้านการให้สัตยาบันและการดำเนินงานตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ว่าด้วยการทำงานในภาคประมง โดยจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศว่าด้วยการทำงานในภาคประมงแล้ว การให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าวส่งผลให้ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิแรงงานในภาคประมงตามที่กำหนดในอนุสัญญาฯ และต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมายที่อนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาดังกล่าว และสหภาพยุโรปได้ประกาศปลดสถานะใบเหลืองของภาคประมงไทย เพื่อแสดงการยอมรับต่อความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมของไทย

มติชนออนไลน์