“ศิโรตม์” โต้ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ดาราพูดการเมืองได้ ย้ำ ‘ปั้นจั่น’ ให้ความเห็นดูถูกประชาชนเลยโดนแบน

วันที่ 21 มิถุนายน 2562 นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิเคราะห์การเมืองและผู้ดำเนินรายการของช่องวอยซ์ทีวี ได้ให้ความเห็นต่อกรณีการนำเสนอข่าวของนายธีมะ กาญจนไพริน หรือจั๊ด ผู้ประกาศข่าวชื่อดังที่นำเสนอกระแสแบนภาพยนตร์เรื่อง รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน ที่มี ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย เป็นนักแสดงนำ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายปรมะได้แสดงความคิดเห็นจนกลายเป็นวิวาทะการเมืองกับประชาชนที่แสดงความผิดหวังและไม่พอใจต่อการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยนายศิิโรตม์กล่าวว่า

ดูคลิปในภาพแล้วไม่สบายใจ ต้นเรื่องคือหนังใหม่คุณปั้นจั่นแป้กแบบมีคนดูเป็นเก้าอี้แทบทุกโรง ฝั่งคนดูนั้นชัดอยู่แล้วว่าไม่ไปเพราะไม่พอใจที่คุณปั่้นจั่นพูดจาดูถูก แต่คุณจั๊ดพูดเหมือนใครไม่ดูหนังปั้นจั่นคือคนใจแคบ รับการที่นักแสดงพูดเรื่องการเมืองไม่ได้ โกรธที่ปั้นจั่นพูดขัดใจตัวเอง รวมทั้งไม่ใจกว้างเหมือนฝรั่งที่นักแสดงพูดเรื่องการเมืองเป็นธรรมดา

ฟังคุณจั๊ดแล้วเหมือนคนดูผิดที่ไม่ไปดูหนังปั้นจั่น แต่ผมว่าเรื่องนี้มีคนเข้าใจเรื่องคนดูไทยและดาราฝรั่งผิด เรื่องแรกคือคนไม่ได้มีปัญหาที่คุณปั้นจั่นพูดเรื่องการเมือง ปัญหาเกิดเพราะคุณปั้นจั่นแสดงความเห็นที่คนฟังรู้สึกว่าเหยียดประชาชน ตัวอย่างเช่นพวกอยากเลือกตั้งไม่ยอมทำมาหากิน, คนเบื่อรัฐบาลประยุทธ์คือพวกที่วันๆ เอาแต่ปาร์ตี้กินเหล้า ฯลฯ

พูดตรงๆ คือคุณปั้นจั่นไม่ได้แสดงความเห็นการเมืองเฉยๆ แต่คุณปั้นจั่นพูดแบบที่คนฟังรู้สึกคุณดูถูกความเป็นมนุษย์ของคนที่เห็นต่างจากคุณปั้นจั่นเอง

นักแสดงฝรั่งพูดเรื่องการเมืองแล้วไม่มีใครว่าอะไร แต่ถ้านักแสดงเริ่มก้าวล่วงถึงขั้นเหยียดเพศ เหยียดสีผิว เหยียดประชาชน เหยียดเชื้อชาติ เหยียดเพศสภาพ สังคมฝรั่งก็มีการบอยคอตและไม่ดูหนังของนักแสดงคนนั้นครับ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่การแสดงความเห็นการเมืองประเภทรักใครหรือชอบพรรคไหน แต่มันคือการดูหมิ่นความแตกต่างซึ่งไม่มีใครสิทธิว่าใคร ใครทำก็สมควรแล้วที่สังคมจะไม่ร่วมสังฆกรรม

คุณจั๊ดต้องเอาให้ชัดว่าเงินในกระเป๋าเป็นของคนดู คนดูมีสิทธิควักเงินให้ใครหรือนักแสดงคนไหนก็ได้ นี่คือการใช้สิทธิในที่ตั้งของผู้ชมเองครับ จะชี้หน้าด่าว่าคนดูละเมิดนักแสดงไม่ได้ เพราะคนดูไม่ได้ไล่ล่านักแสดง ไม่ได้ห้ามดาราแสดงหนัง ไม่ได้ห้ามฉายหนัง คนดูใช้สิทธิของตัวเองในการไม่ควักเงินซื้อหนังของนักแสดงที่เขารู้สึกว่าพูดจาดูหมิ่น นี่คือการปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ชม ผมไม่เห็นว่าคนดูจะไปก้าวล่วงหรือละเมิดคุณปั้นจั่นเลย

ในกรณีคุณปั้นจั่น ผมว่าบทเรียนที่ควรได้คือคนทำงานสื่อต้องไม่ดูถูกประชาชน ประชาชนมีบุญคุณกับเรา แค่สละเวลาดูก็มีพระคุณแล้ว ยิ่งเป็นนักแสดงซึ่งร่ำรวยจากค่าตั๋ว คุณยิ่งพูดจาดูหมิ่นประชาชนไม่ได้ และยิ่งอวยรัฐบาลทหารหรือเหยียบย่ำคนอยากเลือกตั้งยิ่งน่าเกลียด เพราะรัฐบาลแบบนี้หรือการหวงแหนอำนาจแบบนี้คือการแย่งอำนาจจากประชาชน คนดูจึงมีสิทธิโดยชอบที่จะไม่เอาเงินที่หาด้วยความเหนื่อยยากไปสนับสนุนคนที่ไม่เห็นหัวประชาชนเป็นธรรมดา

ดูหนังเดี๋ยวนี้ครั้งนึงก็ 4-500 ถัานักแสดงไม่เคารพประชาชน ประชาชนก็เอาเงินไปให้ลูกหลานเขากินข้าวหรือทำบุญดีกว่าครับ ใครดูถูกประชาชนก็ไม่มีสิทธิกล่าวหาว่าประชาชนละเมิด เพราะสิ่งที่ประชาชนทำก็แค่ไม่จ่ายเงินซื้อผลงานของคนที่ไม่เคารพประชาชน

“ดาราพูดเรื่องการเมืองได้ครับ แต่ที่ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้คือใช้ปากประจบผู้มีอำนาจจนลืมตัวไปเหยียดหยามประชาชน คนดูไม่ได้เทหนังปั้นจั่นเพราะเกลียดที่ปั้นจั่นเห็นต่าง แต่เขาโกรธที่ปั้นจั่นพูดจาเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่าตัวเอง”

สำหรับวิวาทะของดาราหนุ่มรายนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งเกิดขึ้นหลังมีกระแสบนโซเชียลหลังทราบว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ การบริหารในฐานะ หัวหน้า คสช.มา 5 ปี แต่ประเทศก็ไม่ได้ดีขึ้น ถึงขั้นมองว่าการโหวตเมื่อวันที่ 5 คือพิธีกรรมเพื่อสืบทอดอำนาจ แต่นักแสดงหนุ่มได้โพสต์ข้อความดังกล่าวว่า

“คสช. อยู่มา 4-5 ปี บอกสืบทอดอำนาจ ได้อยู่ต่ออีก 3 ปี ก็ยังบอกสืบทอดอำนาจ แล้วไอ้ที่สืบๆกันมาจนลูกจบนอกขับรถซุปเปอร์คาร์นี่มันยังไง ตรูไม่เห็นจะมีนักการเมืองใช้ชีวิตธรรมดาสักคน ต้นทุนบางคนที่ได้มาพ่อแม่ก็เอามาจากภาษาประชาชนทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าบ่นมาก ทำมาหากินไป มีเยอะก็เอาไปช่วยคนอื่นละกัน ทำบุญเยอะๆไม่ใช่แดกแต่เหล้าปาร์ตี้มันทุกคืน”