การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ แม่จะคิดอย่างไรกับแนวคิดของฟูกูโอกะ

[หากคุณไม่รู้ว่าคุณมาจากไหน (1) หรือจะไปที่ไหน ถ้างั้นคุณแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณอยู่ที่นี่ ยืนอยู่ต่อหน้าผม หรือว่าการมีอยู่เป็นสิ่งไร้ความหมาย]

 

ฉันได้แต่เพียงมองดูแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินห่างออกไป…ไปสู่เส้นขอบฟ้า

เรามีบางความฝันร่วมกัน แต่เราก็มีความแตกต่างในสิ่งที่ฝัน ฉันเองจนปัญญาจะพูดเอ่ยคำใดออกไป อาจเป็นประสบการณ์ชีวิตก็ได้ สอนให้ฉันทำได้เพียงการยืนนิ่งๆ

แล้วปล่อยให้ใครอีกสักคนจากไป

ฉันคงจะไม่ตายหรอก หัวสมองคิดอย่างนั้น ขณะยินเสียงดังขึ้นปังหนึ่ง จุดสีขาวไกลๆ หายวับ นั่นคงเป็นการปลิดชีวิตนกไปอีกตัวหนึ่ง

แค่นกอีกตัวหนึ่ง ซึ่งคงไม่มีมนุษย์คนไหนจะแยกแยะเพื่อจดจำใบหน้าของมัน

รางเลือนอยู่ในห้วงความรู้สึกของฉัน อีกไม่นาน ใบหน้าของฉันก็คงจะพร่าเลือนไปจากความทรงจำของคำหวาน และตัวฉันก็ควรจะต้องเลิกระลึกถึงเธอ

[ในธรรมชาติมีชีวิตและความตาย และธรรมชาติคือความรื่นรมย์ ในสังคมมนุษย์มีชีวิตและความตาย แต่มนุษย์มีชีวิตอยู่ในความทุกข์โศก]

 

“ลูกรู้เรื่องหวานหรือยัง”

แม่เอ่ยถามเสียงเรียบ ขณะทุกคนเข้าประจำโตกกันดีแล้ว กำลังเริ่มลงมือกินข้าว

พี่ตรีขัดสมาธิข้างพ่อ จกเอาข้าวเหนียวโหง่วใหญ่ใส่มือหนา ฉันเหลือบตาแลเห็นว่า คราบน้ำฮากยังติดอยู่ตามซอกนิ้ว

“รู้แล้ว” ตอบแม่ไป

“แล้วที่ว่าจะทำสวนถั่วล่ะ จะยังทำอยู่มั้ย ขาดคู่คิดไปเสียอย่างนี้แล้ว”

“ทำสิ” มือฉันตักน้ำแกงเข้าปาก

“ยังไงก็จะทำ”

พ่อยิ้มร่า

“ดีแล้ว คนเรานี่หนา มีอุปสรรคก็เพื่อให้มาผลักดันชีวิตนี่แล”

“จะทำอะไรนะ” เสียงถามมาจากพี่ชายร่วมพ่อ

“พี่มันจะปลูกถั่ว” แม่เป็นฝ่ายตอบแทน “ตั้งใจดิบดีจะทำกับหวานมัน แต่นี่ มันจะไปเยียะก๋านที่อื่นเสียแล้ว”

“ที่พูดกันไว้วันก่อนน่ะหรือ”

“อือ” ฉันรับ

“ไม่ทำแล้วหรือ?”

“ก็หวานมันไม่อยู่แล้ว ถึงได้มาถามพี่อยู่นี่”

“หวานจะไม่อยู่แล้ว…”

เหมือนพี่ชายสมองช้า กว่าจะเข้าใจได้

“น้องหวานจะไปไหน”

“มันจะไปอยู่เยียะก๋านกรุงเทพฯ แล้ว” แม่พูดออกไป

มีการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของพี่ชาย มือใหญ่ที่กำข้าวนึ่งไว้ คล้ายจะคลายปล่อยคำข้าวตกลง แต่พริบตาก็ราวว่ารู้สึกตัวขึ้นมาใหม่

ร่างหนาขยับตัวลุกพรวดขึ้น

“อ้าว จะไปไหน” พ่อถาม

“เดี๋ยวผมมา กินกันไปก่อนเต๊อะ”

 

[…ขณะที่ก้มตัวลงท้าวมือบนก้อนหิน มือของผมก็ได้สัมผัสกับความเย็นของแม่น้ำแห่งฤดูใบไม้ร่วง ใบสีแดงของต้นซูมัคตามริมฝั่งแม่น้ำ ยืนโดดเด่นท้าทายท้องฟ้าสีครามสดใสในฤดูใบไม้ร่วง

ผมยืนตะลึงกับความงามที่ไม่คาดฝันของกิ่งก้านที่ตัดกันกับท้องฟ้า

ภายในทัศนียภาพที่เกิดขึ้นนานๆ ครั้งนี้ โลกแห่งประสบการณ์ทั้งหมดก็ปรากฏขึ้น ในท่ามกลางกระแสของน้ำ กระแสของเวลา ฝั่งน้ำทางซ้ายและทางขวา แสงอาทิตย์และเงาสลัว ใบไม้สีแดงและฟ้าสีคราม ทั้งหมดได้ปรากฏขึ้นภายในหน้าสมุดหนังสือแห่งความเงียบและความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ

และมนุษย์ก็เป็นไม้อ้ออันบอบบางที่คิดได้]

 

[เพียงบัว, มิตรที่รักยิ่งของเรา

เรามีเรื่องจะเล่าให้เธอฟัง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง, อีกแล้ว

เพื่อนที่เราตั้งใจว่าจะร่วมฝัน จะช่วยกันทำงานในไร่สวน จะเป็นกำลังใจให้แก่กัน จะช่วยกันเก็บเงินทอง เขาจะไม่อยู่เสียแล้วล่ะ

เขาจะไปอยู่ที่อื่น ที่เชื่อว่าจะมีอนาคตดีกว่าอยู่ที่นี่

เราไม่สามารถจะห้ามเขาได้หรอก ไม่มีประโยชน์จะพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว เราไม่ได้โกรธเขาที่ล้มเลิกความฝันไปเสียดื้อๆ เพราะเขาเองก็ยังมีความใฝ่ฝัน แต่เราฝันกันคนละอย่าง ดูเผินๆ มันเหมือน แต่จริงๆ มีความต่าง

เราต่างกันมากเกินไป…

เพียงบัวที่รัก เราอยากบอกเพียงว่า ในเวลานี้ เรามีเหลือแต่เธอเท่านั้น ผู้ที่ยังคงจะได้รับฟังความฝันของเรา เธอคือคนเดียวในโลกใบนี้ ณ เวลานี้จริงๆ

ดังนั้น เราจึงอยากจะถามเธอให้แน่ใจอีกสักครั้งว่า เธอจะอยู่กับเราไปนานๆ ใช่มั้ย]

 

[เมื่อเขาถามว่าธรรมชาติคืออะไร เขาก็ต้องถามต่อไปว่า อะไรคือ “อะไร” และอะไรคือมนุษย์ผู้ถามว่าอะไรคือ “อะไร” นั่นกล่าวได้ว่าเขามุ่งหน้าเข้าไปในโลกแห่งการถามอันไม่สิ้นสุด

ในความพยายามที่จะเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า อะไรคือสิ่งที่ก่อให้เกิดคำถามมากมายแก่เขา อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจ เขาก็มีหนทางที่เป็นไปได้อยู่ 2 ทาง

หนทางแรก ก็คือการมองลึกลงไปในตัวเอง ผู้ถามคำถามว่า “ธรรมชาติคืออะไร”

หนทางที่ 2 ก็คือการวิจัยสืบค้นธรรมชาติโดยแยกขาดจากมนุษย์…]

 

[อ้อ เพียงบัว,

เราขอขอบคุณเธออีกครั้งนะ ขอบคุณมากจริงๆ ที่ส่งหนังสือสุดวิเศษเล่มนี้มาให้เรา…ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว…ไม่ว่ามันจะเข้าใจยากเพียงไรในบางตอน แต่เราก็รักมันเหลือเกิน

เราไม่มีความรู้มากนัก แต่ตั้งแต่อ่านหนังสือเล่มนี้มา เราได้พบว่า เรามีความเข้าใจเกิดขึ้นอีกหลายอย่าง และหลายอย่างเหล่านั้น ทำให้เราอยากจะลองฝัน…อยากจะลองอีกสักครั้งจริงๆ

เราไม่ได้หวังถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย แค่อยากจะมีชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ มีเวลาที่เราได้จุดตะเกียงเขียนบทกวี…]

[หนทางแรกนำไปสู่อาณาจักรแห่งปรัชญาและศาสนา เมื่อเหม่อมองดูสายน้ำไม่ใช่สิ่งผิดปกติ ที่จะเห็นกระแสน้ำไหลจากบนลงล่าง แต่ก็ไม่มีความขัดแย้งกันที่จะเห็นกระแสน้ำหยุดนิ่ง และสะพานไหลเลื่อนไป

ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าเลือกทำตามหนทางสายที่สอง ทัศนียภาพจะถูกแบ่งออกเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หลากหลาย สายน้ำ ความเร็วของกระแสน้ำ คลื่นลมและเมฆขาว ทั้งหมดนี้กลายเป็นวัตถุที่แยกขาดจากกัน…]

 

“อ้าว อิ่มอีกคนแล้วหรือ” พ่อถาม

เสียงโซ่รถถีบแกรกกราก พี่ตรีคงจะคว้าออกไปขี่นอกถนน ตอนที่ฉันเองละมือจากโตกข้าว ทำท่าจะผุดลุกบ้าง

“กินนักๆ สิ ตัวผอมลงไปทุกวัน” แม่สอดเสียงขึ้น

“ไม่ค่อยหิวน่ะ” ฉันตอบ

“งั้นจะเก็บกับข้าวไว้ให้ เผื่ออยากข้าวจะได้ลุกมากิน”

อันที่จริง ในบ้านของเราไม่เคยมีกับข้าวเก็บไว้นอกมื้อ เพราะอิ่มคืออิ่ม ทุกคาบมื้อกินแล้วก็จบไป มีนอกลู่บ้างคือพี่ตรีเท่านั้น วันไหนไปแอ่วกินเหล้ากลับมาดึก เป็นต้องต้มมาม่าซดก่อนเข้านอน ซึ่งมักเป็นความเดือดร้อนของแม่ ยามเช้าที่ตื่นมาพบว่าทัพพีมีกระทะวางทิ้งคาเตาอยู่

“ไม่เป็นไรหรอกแม่ เก็บเลยก็ได้”

“จะเอามาม่ามั้ย วันนี้พ่อได้มาจากวัดสองซอง” พ่อพูดขึ้นบ้าง

“ไม่เอา” ฉันตอบกลับไปทันที “จะไปเขียนจดหมายก่อนละ”

“จดหมายใครหรือ ที่เขียนมาบ่อยๆ คนเดียวกับที่ส่งหนังสือมามั้ย”

ฉันนิ่งไป…ยังไม่เคยเล่าให้แม่ฟังเรื่องเพื่อนทางจดหมาย อันที่จริงก็ไม่เคยเล่าถึงใครให้แม่ฟังสักที

“มีเรื่องอะไรสนุกๆ เอามาให้แม่ยืมอ่านบ้าง”

 

[เพียงบัว, เพื่อนคนดีของฉัน

ยังไม่ได้จดหมายตอบจากเธอ แต่ก็ขอเขียนมาอีกฉบับนะ

มีอะไรจะบอก…วันนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งอยากจะรู้จักเธอล่ะ อ้อ ผู้ชายอีกคนหนึ่งด้วย พวกเขาคือพ่อแม่ของเรานั่นเอง

แม่ถามถึงเธอ คนที่ส่งจดหมายกับหนังสือมาบ่อยๆ วันนี้เราจึงเล่าถึงเธอให้แม่ฟังเล็กน้อย แล้วจึงอดไม่ได้ จะเอาจดหมายบางฉบับของเธอมาอ่านให้แม่ฟัง

รู้มั้ย มีอะไรที่แปลกมากๆ แม่ตั้งใจฟังจดหมายของเธอ และแม่บอกเราว่า เธอลายมือสวย ดูเป็นคนใหญ่ ดูเป็นคนช่างคิด แม่ชอบเนื้อความวาทะต่างๆ ที่เธอเขียนมา และแม่สนใจอยากจะอ่านเรื่องของท่านจิตร ภูมิศักดิ์ด้วย

เราเอาหนังสือบางส่วนมาให้แม่ดู แม่สนใจตั้งหลายเล่มแน่ะ แต่แม่เลือกเอาเล่มหนึ่งไป ที่ชื่อเล่มว่า “ตลิ่งสูงซุงหนัก” เรายังไม่ได้อ่านหรอก คิดว่าให้แม่เอาไปอ่านก่อนก็ได้ เอาไว้ถ้าแม่อ่านแล้วเป็นอย่างไร จะเอามาเล่าให้เธอฟังอีกครั้งนะ

เพียงบัว, แม่บอกว่า เราโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ อย่างเธอ เราว่านี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันละ ที่ไม่คิดจะโต้แย้งกับแม่เลย

แต่เอาไว้…เราจะลองให้แม่อ่านหนังสือของฟูกูโอกะดูบ้าง

 

[โลกเคยเป็นสิ่งที่เรียบง่ายสามัญ คุณเพียงแต่สังเกตเห็นว่า ขณะเดินลัดเลาะผ่านทุ่งหญ้า หยาดน้ำค้างกระเซ็นมาถูกต้องเนื้อตัวจนเปียกชื้น…]

เพียงบัว, เราอยากรู้ขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ อย่างข้อความเช่นนี้ที่เราแสนจะจับใจ แม่จะชอบมันบ้างไหม แม่จะคิดอย่างไรกับแนวคิดของฟูกูโอกะ

———————————————————————————————————————–
(1) จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล