จรัญ พงษ์จีน : ฟอร์มรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” วุ่นตั้งแต่เริ่ม

จรัญ พงษ์จีน

สถานการณ์ตอนนี้ถือว่าก้าวข้าม ส.ส.ร้อยละ 95 ไปด้วยความระทึกแล้ว “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” ต้อง “ปล่อยผี” ผ่านไปก่อนทั้งระบบ “เขตเลือกตั้ง” และ “บัญชีรายชื่อ” แล้วคอยตามสอยแจก “ใบเหลือง ใบส้ม” ย้อนหลัง

ซึ่งตามคาด ก่อนเส้นตายไม่กี่ชั่วยาม “กกต.” ประกาศรับรองผล ส.ส.เขตเลือกตั้งล็อตใหญ่ 349 คน จาก 350 เขต ถัดไปอีกวันจ่อประกาศรายชื่อ “ปาร์ตี้ลิสต์” อีก 149 คน อยู่ในกรอบเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดพอดี

ลำดับถัดไป ถนนทุกสายล้วนโฟกัสไปที่การฟอร์มรัฐบาลใหม่ ซีกไหนจะได้จัดตั้ง ระหว่างฝั่งที่อุปโลกน์ตัวเองว่า “ประชาธิปไตย” กับขั้ว “สืบทอดอำนาจ”

แต่เมื่อจับความเคลื่อนไหว ดูทิศทางลมแล้ว น่าจะหวานคอแร้งซีกที่สนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นเชนคัมแบ๊ก คืนตึกไทยคู่ฟ้ารอบ 2 เพราะมีเนื้อนาบุญเอื้อประโยชน์ให้หลายประการ

“ปัจจัยที่ 1” พรรคแนวร่วม อันประกอบด้วย “พรรคพลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา-ชาติพัฒนา-รวมพลังประชาชาติไทย-พรรคขนาดเล็ก” มีก้างติดคออยู่ที่ “พรรคประชาธิปัตย์” แต่คาดว่าหลังเลือกตั้งผู้บริหารพรรคชุดใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคม เรียบร้อย ก็น่ากระโดดค้ำถ่อมาร่วมวงไพบูลย์ด้วยความจำยอม เสียงสนับสนุนปริ่มๆ 250 กว่าเล็กน้อย ระดับแทบใจจะขาด

“ปัจจัยที่ 2” ตัวแปรสำคัญ ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนของเกม คือ 250 ส.ว. “สภาลากตั้ง” ซึ่งเมื่อวันวาน 15 รัฐมนตรีในรัฐบาล “ตู่ 1” พาเหรดกันตบเท้าลาออก พร้อมเพรียงไล่เลี่ยกับ 60 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

เกือบจะล้างท่อ “แม่น้ำ 2 สาย” เพื่อไปชักตะพานแหงนแต่งตัวรอเป็น “วุฒิสมาชิก” สายแต่งตั้ง เป็นกองหนุนสำคัญที่ทรงพลัง ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้รับการทาบทามอย่างเป็นกิจจะลักษณะจาก “ศูนย์อำนาจ” ก่อนล่วงหน้า รับประกันความชัวร์กันเป็นที่เรียบร้อยก่อนแล้ว

ไม่จำเป็นต้องเอ่ยนาม ทั้ง 15 รัฐมนตรีและ 60 สนช.ที่ไขก๊อก และได้ดิบได้ดีซ้ำซาก จับพลัดจับผลู “โรเตชั่น” ไปเสวยสุข ณ แม่น้ำสายใหม่ “สภาสูง” หลับๆ ตื่นๆ ได้บริโภคเงินเดือนฟรีอีกปีละล้านสองล้านบาท สืบทอดติดต่อกันอีก 5 ปี

 

ทุกอย่างดูจะลงตัวด้วยความลื่นไหล ไม่มีอุปสรรค “ตู่ภาค 2” ฉลุยดุจจรวดทางเรียบ แต่ที่ทำท่าว่า “จะไม่แน่หรอก” ก็ประเด็นดราม่าจากฝั่งของ “คนกันเอง”

“ประการแรก” “พรรคประชาธิปัตย์” ที่จะทำศึกเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคกันในสัปดาห์หน้า เกิดฝ่ายชนะที่จะมานำธงพรรคกู้วิกฤตศรัทธากลับคืน มีมติไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝั่งพลังประชารัฐและพันธมิตร เสียงสนับสนุน “บิ๊กตู่” เกิดตาลปัตร เข้าขั้นอุกฤษฏ์ทันทีได้เช่นเดียวกัน

แม้หลังจากนั้น “ประชาธิปัตย์” จะเกิด “งูเห่า” หรือ “อนาคอนด้า” อะไรก็ตาม แต่การฟอร์มรัฐบาลสะดุดปังตอแน่นอน

“ประการที่สอง” ดังที่ทราบ มีการส่งสัญญาณ สะกิดกันเป็นรายตัวให้ “คณะรัฐมนตรี” จำนวน 15 คนไขก๊อกจากตำแหน่ง เพื่อไปเป็น “ส.ว.ลากตั้ง”

ขณะที่รัฐมนตรีอีก 17 คนที่เหลืออยู่ เชื่อว่า “ส่วนมาก” จะหลุดออกจากตำแหน่งทั้งรัฐมนตรีและวุฒิสมาชิกแบบไม่มีที่ให้ยืน

เนื่องจากรัฐบาลใหม่ แม้นายกรัฐมนตรีจะชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คนเดิม แต่บริบทเปลี่ยน ต้องดำเนินการตามกฎและกติกาการเมือง สัดส่วนผู้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เงื่อนไขต่างไปจากเดิม

“ประเด็นคือ” เก้าอี้รัฐมนตรีอันเป็นโควต้าของ “บิ๊กตู่” ต้องลดน้อยถอยลงโดยอัตโนมัติ ตามอนุรูปของกลไกการเลือกตั้ง จาก “รัฐบาลผสม” ต้องกระจายกระทรวงต่างๆ ไปให้พรรคการเมืองอื่นๆ

รายอื่นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่เป็นเรื่องคือ “2 ป.” ทั้ง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับน้องรอง “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ปรากฏว่า “2 ป.” ไม่มีชื่อเป็นวุฒิสมาชิก ในส่วนของ “บิ๊กป้อม” น่ะไม่น่าห่วงสักเท่าไหร่ แม้จะถูกรุมกินโต๊ะ รายจ่ายท่วมรายรับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนแปรสภาพเป็นหมู่บ้านกระสุนตก

แต่ศึกเลือกตั้ง 62 ทราบกันดีว่า “บิ๊กป้อม” มีบทบาทมากที่สุดกับการกำกับดูแลและรับผิดชอบ “พรรคพลังประชารัฐ” และพรรคการเมืองอีกบางพรรค บ้านรอยต่อฯ ถูกกล่าวขานว่า เป็นหัวจ่ายท่อน้ำเลี้ยงใหญ่

ดังนั้น โอกาสที่ “บิ๊กป้อม” จะหลุดโผออกจากขั้วอำนาจ คงยาก “เว้นแต่” เจ้าตัวจะขอโลว์โฟรไฟล์เอง นั่งข้างเวที ทำหน้าที่พี่เลี้ยง แต่ต้องมี “ข้อแม้” ว่า ว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องมาจากสายบ้านรอยต่อฯ

หรือส่งน้องรักที่ชื่อ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ขึ้นนั่งว่าการกระทรวงเกรดเอกระทรวงหนึ่งกระทรวงใด

ที่ต้องลุ้นระทึกก็รายของ “บิ๊กป๊อก” แม้ความสัมพันธ์กับ “น้องตู่” จะล้ำลึก ผูกพันกันมาเนิ่นนาน ทว่าหยั่งที่บอก ด้วยความจำกัดของ “จำนวนรัฐมนตรี” ที่น้อยลง

หาก “พล.อ.อนุพงษ์” ไม่สามารถรักษาแชมป์เก้าอี้ มท.1 เอาไว้ได้ เท่ากับว่าหลุดแล้วหลุดเลย เพราะไม่ได้ร่วมลาออกไปเป็นวุฒิสมาชิก เหมือน 15 รัฐมนตรี

“ประการที่ 3” เงื่อนไขภายใน “พรรคพลังประชารัฐ” ตอนนี้ไม่รู้มีศึกวงในอะไรหรือเปล่า รู้แต่ว่า น่าจะ “ไม่ปกติ”

ดังที่ทราบ “พปชร.” เป็นพรรคเฉพาะกาล เฉพาะกิจ ไม่ได้เกิดจากเบ้าหลอมพลังจารีตร่วมอุดมการณ์ จับปูใส่กระด้งกันมาหลายกลุ่ม หลายมุ้ง

“กลุ่มสามมิตร” ของ “2 ส.-สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ขันอาสามารวมพรรค เพราะชำนาญพื้นที่ รู้แจ้งแทงทะลุ ปรุโปร่ง มี ส.ส.ในสังกัดจำนวนหนึ่ง

การที่พรรคได้ ส.ส.ชิงพื้นที่ในภาคอีสาน-ภาคเหนือ-ภาคกลางบางจังหวัดมาได้ขนาดนี้ “สามมิตร” มั่นใจว่าเป็นฝีมือของพวกเขา เมื่อเสร็จศึกชนะสงคราม แม่ทัพนายกองต้องมีรางวัล คือต้องได้นั่งว่าการกระทรวงเกรดเอบวก

เช่นเดียวกันกับแกนนำคนอื่นๆ ที่กวาด ส.ส.มาแบบยกจังหวัด ไม่ว่าจะ “วิรัช รัตนเศรษฐ์-สันติ พร้อมพัฒน์-วราเทพ รัตนากร”

หรือ “สุชาติ ตันเจริญ” เคยนั่งรองประธานสภามาเก่าก่อน คาบนี้หาก พปชร.ได้เป็นแกนนำ พร้อมจะนั่งประธานรัฐสภา

ปัญหาอยู่ที่ว่า “สี่กุมาร” ที่ประกอบด้วย “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์” ที่อุตส่าห์ไขก๊อกไปจากรัฐมนตรี ไปลุยถั่วทางการเมืองเต็มตัว และล้วนแล้วแต่มีตำแหน่งหลักในพรรค พปชร ทั้งหัวหน้าพรรค รอง และเลขาฯ

และ “สี่กุมารทอง” ก็ไม่มีชื่อว่าได้รับเชิญข้ามฟากไปสายนิติบัญญัติ ทุกคนต่างคาดหวังว่าจะได้กลับมาเติบโตฝั่งบริหารนั่งเก้าอี้เสนาบดีตัวเดิมๆ กันอีกครั้ง

บุคลากรขาใหญ่ๆ ใน “พลังประชารัฐ” ที่ทำให้การฟอร์มรัฐบาล “ตู่ภาค 2” ไม่ราบรื่น