ตัวตนหลากมิติของ “เล็ก พงษธร” หนุ่มชาวประมง, หลงรักดิสนีย์, รอยสักเต็มร่าง และแชมป์ The Voice Thailand 2018

“เสียงแบบนี้ไปไม่รอดหรอก” คือคำดูถูกที่ “เล็ก-พงษธร กำบัง” หนุ่มวัย 24 ปี จากจังหวัดเพชรบุรี จำฝังใจ จนกลายเป็นแรงผลักดันที่นำเขามาสู่แชมป์ The Voice Thailand 2018

เล็ก พงษธร หรือเล็ก เดอะวอยซ์ ชายหนุ่มผู้มีสำเนียงหนุ่มเมืองเพชรที่เป็นเอกลักษณ์และมีเสน่ห์ล้นเหลือ เล่าจุดเริ่มต้นการร้องเพลงให้ฟังว่า สมัยเรียนประถมศึกษาที่ 3 ถูกคุณครูบังคับให้ไปประกวดร้องเพลงลูกทุ่งแล้วได้รางวัลที่ 1

จากนั้นครูก็เลยส่งไปร้องเพลงประกวดอยู่เรื่อยๆ แต่พอเรียนระดับมัธยมศึกษาก็ไม่ได้ขึ้นเวทีแข่งขันอีกเลย

สมัยเด็กๆ “เล็ก” มีความฝันอยากเป็นข้าราชการตำรวจ และยังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองอยากทำอาชีพอะไร ก็วิ่งเล่นกับเพื่อนไปวันๆ แถมถูกแม่ดุเป็นประจำเรื่องพูดไม่รู้เรื่อง และกลับบ้านดึก

พอโตขึ้นก็เริ่มออกทะเลไปช่วยพ่อทำประมงซึ่งเป็นอาชีพของครอบครัว จนกลายเป็นชาวประมงอย่างเต็มตัว

และตลอดเวลาที่ทำประมง เล็กก็รู้สึกว่าอาชีพนี้คืออาชีพที่ใช่ เพราะเขารู้สึกมีความสุขที่ได้ออกไปช่วยพ่อทำงาน แม้ว่างานจะหนักมากก็ตาม

เมื่อถามว่าเวลาจับปลา ร้องเพลงอะไรให้ปลาฟังบ้าง เล็กพูดติดตลกว่า “ผมก็ร้องเพลงทั่วไป เพราะเวลาอยู่กลางทะเล อยู่กับพ่อแค่สองคน มันรู้สึกสงบแม้จะมีเสียงคลื่นบ้าง แต่ถ้าจะร้องให้ปลาฟังต้องดำลงไปร้องใต้น้ำ”

เล็กประกอบอาชีพประมงอยู่หลายปี เมื่อเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ตัดสินใจเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียน หรือ กศน. จนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย และการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคือจุดเริ่มต้นการร้องเพลงกลางคืนเพื่อหาค่าขนม

“พ่อก็ให้ค่าขนมเยอะนะ แต่ผมใช้เงินเก่ง บางทีก็ไปเที่ยวบ้างตามประสาวัยรุ่น พอดีไปรู้จักกับรุ่นพี่อยู่ ก็เลยได้ไปร้องเพลงรับจ้างหารายได้เสริม สัปดาห์ละไม่กี่วัน สลับกับการไปออกเรือช่วยพ่อทำงานบ้าง”

ที่ผ่านมา เล็กติดตามรายการ The Voice Thailand มาโดยตลอด ก่อนตัดสินใจส่งคลิปวิดีโอมาประกวด และส่งมาทั้งหมด 3 ซีซั่น

โดยส่งคลิปเพลง “อยากกลับบ้าน” ของ “เสือ-ธนพล อินทฤทธิ์” มาสองครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนครั้งนี้ส่งคลิปเพลง “อย่าหยุดยั้ง” ของ “ดิ โอฬาร โปรเจ็คท์” และผ่านเข้ารอบจนได้

เมื่อผ่านรอบคลิปมาได้ รอบต่อไปคือรอบร้องเพลงสด เล็กยังจดจำบรรยากาศวันนั้นได้ว่ามีคนอยู่เต็มห้องไปหมด ในห้องก็มีไมโครโฟน 1 ตัว ตัวเองจึงนำกีตาร์มาดีด และร้องเพลง “อยากกลับบ้าน” อีกครั้ง

เพราะเป็นเพลงที่ทำให้คิดถึงสมัยเรียนว่าไม่ค่อยได้กลับไปบ้านเท่าไหร่ จึงเป็นเพลงที่อยู่ในความทรงจำ และเล็กก็ตัดสินใจร้องเพลงดังกล่าวสดๆ ให้ทีมข่าวมติชนทีวีฟังด้วย

“คืนนี้ที่ฟ้าไร้ดาวมืดหม่น เหมือนดังคนไม่มีที่ไป ใจฉันคิดขึ้นมาเมื่อไหร่ น้ำตาเอ่อทุกที ปลอบใจตัวเราเองไว้อยู่เสมอ อย่าไปท้อใจ สู้ไป มีคนข้างหลังยังคอย ขวากหนามคือแรงชีวิตผลักดัน สู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ รู้ในใจอยู่เสมอ ดวงชะตาขีดไว้ให้ฝ่าฟัน”

เมื่อเล็กเริ่มเปล่งเสียง เสียงอื่นๆ ในห้องสัมภาษณ์ก็ถึงกับเงียบสนิท

เล็ก เดอะวอยซ์ เล่าว่า เขาชอบร้องเพลงหลากหลายแนว ทั้งเพลงเพื่อชีวิต เพลงสตริง เพลงลูกทุ่ง และเมื่อร้องเพลงอะไรก็จะเลือกไปทางนั้นเลย ไม่นำแนวเพลงใดมารวมกัน

ส่วนที่แฟนเพลงหลายคนบอกว่าเสียงเหมือน “โจ้ วงพอส” เจ้าตัวเห็นว่าอาจจะคล้ายแค่หางเสียงเท่านั้น แต่อยากให้จดจำเสียงที่เป็นของเล็กมากกว่า

“ผมส่งคลิปมา ผมตั้งใจนะ ผมก็อยากติด แล้วพอมันติดเข้ามาแล้ว เหมือนเราก็ผ่านมาจุดจุดหนึ่งแล้ว

“จากนั้นมีคนเขาถามเราว่าเรามาประกวดเพราะอะไร มีเหตุผลอะไรถึงมาประกวดรายการนี้ แต่กลับมีคนดูถูกผมว่า เสียงแบบนี้มันไปไม่รอดหรอก อะไรประมาณนี้ คือเขานินทา เขาพูดให้เราฟัง ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้ทำในสิ่งสิ่งนั้นเลย ก็ดูถูกเราไปก่อนแล้ว”

แม้คำดูถูกจะทำให้เล็กแอบโมโหอยู่เหมือนกัน และเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดต้องมาว่ากันขนาดนี้ด้วย ทำไมต้องมาสบประมาทกันด้วย

แต่คำพูดแง่ลบของคนอื่นก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เล็กได้ใช้คำสบประมาทนี้มาเป็นแรงผลักดัน ท้ายสุด เมื่อโค้ชหันมาหาเขา หนุ่มนักร้องชาวเพชรบุรีก็รู้สึกว่านั่นคือที่สุดแล้ว ไม่ขออะไรอีกแล้ว

“ตอนนั้นผมคิดอยู่ในใจ ไม่เป็นไรโค้ชหันคนเดียวก็เอาแล้ว ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้ว ที่เราตั้งใจมามันสำเร็จแล้ว เราไม่ได้มองการณ์ไกลว่าโค้ชกดเข้าไป แล้วเราจะต้องเป็นแชมป์ ที่ผ่านมา เวลาเขานัดมาคุยเพลง เราก็ซ้อมเพลงปกติ และเป็นตัวเราให้มากที่สุด”

จากการพูดคุยกับเล็ก สัมผัสได้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่ขี้เล่น มีอารมณ์สนุกสนานอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เล่นมุขตลกบ้าง

ส่วนที่หลายคนมองว่าบุคลิกภายนอก ซึ่งเต็มไปด้วยรอยสัก และนิสัยที่แสดงออกมา ดูขัดแย้งกันไปหมด เล็กบอกว่าหลายคนเคยพูดประเด็นนี้กับเขา บางคนก็บอกว่ามันเป็นเสน่ห์ดีนะ บางคนก็บอกว่ามันดูรกหูรกตา ก็แล้วแต่มุมมองของคนว่าจะมองอย่างไร

รอยสักรอยแรกเริ่มบนร่างกายของเล็ก คือ ตัวอักษร “L” ซึ่งมาจากชื่อเล่น จากนั้นเล็กก็สักเพิ่มมาเรื่อยๆ ผ่านฝีมือการสักของเพื่อนที่ไปร่ำเรียนด้านนี้มา

โดยแรกๆ เริ่มสักแนวญี่ปุ่น เช่น มังกร คาบูกิ จากนั้นก็เริ่มรู้จักงานสักแบบ Old School Tattoo เมื่อรู้จักก็ยิ่งชอบ จึงสักมากขึ้นๆ จนถูกแม่ด่าว่าสักไปทำไม

นอกจากศิลปะบนเรือนร่างแล้ว แชมป์ The Voice คนล่าสุด ยังหลงรักรถคลาสสิค ที่ผ่านมาก็เคยซื้อรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิคตระกูลรถเล็กไว้หลายคัน เช่น c50 s90 c200 และนันทิดา ส่วนรถที่ซีซีมากขึ้นมีอยู่ 1 คัน คือ ยามาฮ่า sr 400

แถมเจ้าตัวยังชอบเก็บสะสมนาฬิกามิกกี้เมาส์ นาฬิกาการ์ตูนไขลาน เสื้อวงดนตรี เสื้อยืดผ้าบางลายการ์ตูนดิสนีย์

“ผมชื่นชอบการ์ตูนดิสนีย์มาก เก็บเสื้อมิกกี้เมาส์ไว้หลายตัว และยังสักคำว่า “ดิสนีย์” ไว้ที่คอด้วย และทุกวันนี้ก็ยังดูการ์ตูนอยู่เลยนะ สนุกดี บางครั้งก็ปิดไฟดูแล้วจินตนาการตามว่า หากเราวาร์ปเข้าไปอยู่ในโลกของมันก็คงดี”

ปกติเล็กจะชอบแต่งตัวสไตล์วินเทจ และพูดสำเนียงคนเมืองเพชรแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เวลาเขาพูดใส่ไมค์ก็จะมีพูดสำเนียงกรุงเทพฯ บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะใช้สำเนียงบ้านเกิด เพราะรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กบ้านๆ และไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงตัวตนอะไรมากมายนัก

ส่วนเรื่องหัวใจตอนนี้ นักร้องคนเก่งมีภรรยาแล้วและมีลูกน้อยวัย 3 ขวบ 1 คน

หลังได้รับรางวัลที่ 1 จากการประกวด The Voice Thailand 2018 เล็กไม่ได้วางแผนชีวิตอะไรเพิ่มเติม จากนี้จะใช้ชีวิตตามปกติ หากมีคนจ้างงานก็จะไป แต่จะซ้อมร้องเพลงให้มากกว่าเดิม

ส่วนเงินรางวัล 1 ล้านบาท จะนำไปชำระหนี้สินและนำไปเสียภาษี ซึ่งคงเยอะอยู่

สุดท้ายนี้ เล็ก เดอะวอยซ์ ฝากถึงแฟนเพลงและทุกคนที่ร่วมกดโหวต หรือส่งแรงใจมาเชียร์ว่า

“ผมขอขอบคุณพี่ๆ ทุกท่าน ท่านผู้ใหญ่ทุกคนที่คอยสนับสนุนผม แล้วก็ขอบคุณคนทั่วประเทศที่คอยเชียร์ผม แล้วก็ช่วยโหวตให้ผม เป็นกำลังใจให้มาโดยตลอด ผมก็ต้องขอขอบคุณด้วยครับ ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นอกจากคำว่าขอบคุณ ขอบคุณทุกคนจากใจจริงๆ”