ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2562 |
---|---|
เผยแพร่ |
นงนุช สิงหเดชะ
สถานการณ์ ‘คุ้นๆ’ ของ ปชป.
จากไม่รับ รธน.ถึงเลือกตั้ง 24 มี.ค.
หลังจากพ่ายเลือกตั้งแบบยับเยินเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ก็ดูเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยังไม่ตกผลึกว่า “สาเหตุใหญ่” ของความพ่ายแพ้คืออะไร เนื่องจากความเห็นแตกเป็นหลายก๊ก ตามแต่ใครจะขึ้นกับก๊กไหน ก็มักจะให้เหตุผลสนับสนุนก๊กนั้น
ถ้าเป็นก๊กที่เห็นด้วยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะบอกว่าแพ้เพราะนโยบายยังไม่โดนใจประชาชน แพ้เพราะคนกลัวทักษิณ ชินวัตร จากภาพวันงานแต่งลูกสาวทักษิณที่ฮ่องกง 2 วันก่อนเลือกตั้ง หรือที่เรียกว่า “ฮ่องกงเอฟเฟ็กต์”
ส่วนคน ปชป.ซีก “กปปส.” หรือกลุ่มนกหวีด มั่นใจว่า สาเหตุที่แพ้ถล่มทลายครั้งนี้เป็นฝีมือของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ที่ไปออกคลิปประกาศจุดยืน “ไม่เอาประยุทธ์” ในโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง
คนที่พูดชัดคือ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.ปชป.พิษณุโลก ที่บอกว่าเป็นเพราะวางยุทธศาสตร์ผิดพลาด เพราะแทนที่จะไปต่อสู้กับทักษิณ ดันไปต่อสู้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนคนอื่นบอกว่าคลิปที่ออกไปเป็นความเห็นส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ ไม่ใช่มติพรรค
หากมองจากสายตาคนภายนอก ที่อาจจะสัมผัสกับความรู้สึกของประชาชนผ่านสื่อต่างๆ ค่อนข้างเห็นด้วยกับ นพ.วรงค์ที่ว่าคลิป “ไม่เอาประยุทธ์” คือสาเหตุใหญ่
หลังทราบผลเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรคและขอโทษสมาชิกพรรคที่นำพรรคพ่ายแพ้ พร้อมกันนี้ได้ชี้แจงถึงสาเหตุการออกคลิปแสดงจุดยืนว่า เป็นเพราะสำรวจโพลหลายสำนักแล้วพบว่าคนเลือก พล.อ.ประยุทธ์ แค่ 27% นอกจากนี้ “ฮ่องกงเอฟเฟ็กต์” ทำให้คนกลัวทักษิณจึงเทคะแนนให้พลังประชารัฐ (พปชร.)
ไม่แน่ใจว่าตัวเลขคะแนนนิยม พล.อ.ประยุทธ์ 27% ที่นายอภิสิทธิ์นำมาอ้างคือส่วนไหน ถ้าเป็นส่วนของผลสำรวจว่าด้วยความนิยมในบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งแล้วละก็ ตรรกะของนายอภิสิทธิ์ดูเหมือนจะผิดพลาด เพราะโพลทุกสำนักไม่ว่าจะสำรวจกี่ครั้ง ผลปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ที่ 1 ตลอด ตามด้วยคนจากพรรคเพื่อไทย
แม้แต่ก่อนเลือกตั้งไม่นาน รังสิตโพลก็ได้ผลออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้คะแนนนิยม 27% หรือเป็นอันดับ 1 ทิ้งห่างสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ส่วนนายอภิสิทธิ์ อยู่อันดับ 3 หรือไม่ก็ 4
จากผลโพลครั้งแล้วครั้งเล่า คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ พปชร.เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพราะเชื่อว่าจะช่วยดึงคะแนนได้
เมื่อเป็นดังนี้ เหตุใดนายอภิสิทธิ์กลับไปคิดว่า คนที่ได้คะแนนนิยมที่ 1 ในโพลมาตลอดอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่นายอภิสิทธิ์ไม่เห็นอยู่ในสายตา และไม่เชื่อว่าจะได้รับความนิยมจากประชาชน จนถึงกับมั่นอกมั่นใจออกคลิปมาในลักษณะนั้น
ส่วนเหตุผลเรื่องฮ่องกงเอฟเฟ็กต์นั้น ยิ่งเบาเข้าไปใหญ่ เพราะ “เอฟเฟ็กต์ใหญ่” เกิดขึ้นไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เมื่อพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่ทำให้อึ้งกันทั้งประเทศ
นอกจากนี้หากมองในภาพใหญ่ที่การเมืองยังแบ่งขั้วกันอย่างมาก คะแนนที่เป็นต้นทุนเดิมของ ปชป. 11.4 ล้านเสียง (เมื่อปี 2554) มีแนวโน้มจะถูกแย่งจากพรรคย่อยที่อยู่ในขั้วเดียวกัน (ไม่เอาทักษิณ) อย่างพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) รวมทั้งพรรคใหม่คือ พปชร.ที่ตั้งขึ้นมารองรับ พล.อ.ประยุทธ์
มองในภาพรวม ยากที่ ปชป.จะได้คะแนนใหม่เข้ามา เท่ากับว่าต้นทุนยังมีเท่าเดิมคือ 11.4 ล้านเสียง แต่ถูกแบ่งไปโดยพรรคอื่นที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังแข็งแกร่งเช่นเดิมโดยเฉพาะพื้นที่อีสาน
หากนายอภิสิทธิ์ไม่ออกคลิปประกาศจุดยืนต้านประยุทธ์ คนที่เคยเลือก ปชป.ก็อาจจะไม่ตกใจจนต้องกระโดดไปเลือก พปชร. เพราะจะเลือก ปชป.หรือ พปชร.ก็ไม่ต่างกัน เนื่องจากเชื่อว่าหลังเลือกตั้งสองพรรคนี้จะจับมือกันอยู่ตรงข้ามเพื่อไทย
แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ประกาศ ทำให้คนเริ่มกลัวว่าซีกต้านทักษิณมีโอกาสน้อยที่จะฟอร์มรัฐบาลได้อย่างมั่นคง ขณะที่โพลทุกครั้งบอกชัดอยู่แล้วว่าเพื่อไทยและเครือข่ายจะได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ในแง่จำนวน ส.ส.
เมื่อกลัวจึงพากันเทคะแนนให้ พปชร.เพื่อให้มีจำนวน ส.ส.มากพอในระดับที่จะสามารถดึงพรรคกลางๆ ให้มาช่วยฟอร์มรัฐบาล ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น คือกรุงเทพฯ นั้นจากที่ ปชป.เป็นแชมป์มาตลอด กลับกลายเป็นสูญพันธุ์ไม่เหลือแม้แต่เก้าอี้เดียว
จากที่เคยประเมินว่าทั่วประเทศ พปชร.จะได้แค่ 60-70 ที่นั่ง ปชป.ได้ไม่ต่ำกว่า 100 เรื่องจึงกลับกันคือ ปชป.ได้แค่ 50 กว่า ส่วน พปชร.ได้เกือบ 120
เหตุการณ์เลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ช่างคล้ายคลึงกับเหตุการณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 เมื่อครั้งที่มีการจัดทำประชามติว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ของ คสช.หรือไม่
ในครั้งนั้น ปชป.ออกมาคัดค้านไม่รับ โดยนายอภิสิทธิ์แถลงอย่างเป็นทางการถึงสาเหตุที่จะไม่รับ ซึ่งครั้งนั้นก็เช่นกัน สมาชิก ปชป.ที่อยู่ในซีก กปปส.ได้แสดงความเห็นสวนทางนายอภิสิทธิ์ ทำให้อดีต ส.ส.ปชป.บางคนออกมาไล่ส่งให้ออกจากพรรคฐานแสดงความเห็นสวนทางหัวหน้าพรรค
หนำซ้ำนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรค ปชป.ในยุคเก่าแก่ ดันออกมาแนะนำให้ ปชป.จับมือกับเพื่อไทยเพื่อสกัดรัฐบาลทหาร ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ดูเหมือนจะหลุดจากโลกความจริงและไม่รับรู้ถึงอารมณ์ของฐานเสียง ปชป. (แถมหลังเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ยังบอกว่าให้ ปชป.ไปสนับสนุนเพื่อไทยให้เป็นรัฐบาล)
ผลที่ออกมาก็คือประชาชนร้อยละ 61.4 รับร่างรัฐธรรมนูญ ไม่รับร้อยละ 38.6 ถือว่าผ่านแบบขาดลอย ทั้งที่พรรคเพื่อไทยและ ปชป.จับมือกันต่อต้านสุดฤทธิ์ มีการโน้มน้าวต่างๆ นานา ไม่ให้ประชาชนโหวตรับ
ฝ่ายต่อต้าน คสช.ที่สนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค ถึงกับลงทุนไปถึงหน่วยลงประชามติตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วฉีกบัตร พร้อมกับประกาศว่า “เผด็จการจงพินาศ” เพื่อหวังให้เป็นข่าวและหวังจะโน้มน้าวคน ยังเอาไม่อยู่เลย
ในกรุงเทพฯ น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะแม้แต่ประชาชนในเขตเลือกตั้งที่เป็นฐานของเพื่อไทยยังโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญเฉลี่ย 60% ส่วนเขตของ ปชป.โหวตรับสูงกว่านั้นเฉลี่ย 70% ขึ้นไป โดยเฉพาะเขตวัฒนาซึ่งเป็นเขตของนายอภิสิทธิ์สูงโด่ง 76% เป็นอันดับ 2 ของ กทม.เลยทีเดียว
บางคนมองว่าเหตุที่คน กทม.ในพื้นที่ของ ปชป.โหวตรับร่างรัฐธรรมนูญสูงขนาดนั้นน่าจะเป็นเพราะ 1.นายอภิสิทธิ์ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2.อดีต ส.ส.บางคนในพรรคไล่คน ปชป.ในซีก กปปส.ออกจากพรรค
เป็นสถานการณ์คล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นก่อนเลือกตั้ง 24 มีนาคมที่ผ่านมา เพราะครั้งนี้ ส.ส.ปชป.ก๊กนายอภิสิทธิ์บางคน ออกมาด่ากราด นพ.วรงค์ว่าเนรคุณพรรคฐานมาวิจารณ์อภิสิทธิ์ ทั้งๆ ที่ว่าไปแล้ว นพ.วรงค์คือมือหนึ่งในการขุดคุ้ยคดีทุจริตจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์
หาก ปชป.ในยุคนายอภิสิทธิ์ ย้อนไปทบทวนดูสถานการณ์ในคราวลงประชามติรัฐธรรมนูญ ก็น่าจะอ่านความรู้สึกของฐานเสียงได้ว่าไม่ได้ต่อต้าน คสช. และเมื่อมาประจวบกับโพลเรื่องบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกฯ ก็น่าจะพอเห็นแนวโน้มว่าคนไม่ได้ต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์มากพอที่นายอภิสิทธิ์จะเสี่ยงออกคลิปมาท้าชน
เมื่อท้าชน ก็อย่างที่เห็นคือ คะแนนที่มีอยู่เดิม ถูกเกลี่ย ถูกเทไปให้ พปชร. เหลือเพียง 3.9 ล้านเสียงเท่านั้นที่ยังยึดมั่นชื่นชมใน ปชป.
3.9 ล้านเสียง น่าจะเป็นกลุ่มที่เลือกโดยคิดถึงเรื่องอุดมการณ์อย่างเดียว และมองสถานการณ์หลังเลือกตั้งไม่ออก สถานการณ์ที่ว่าเพื่อไทยมีแนวโน้มจะชนะ และไม่แคร์หากฝ่ายทักษิณจะเป็นฝ่ายได้ตั้งรัฐบาล
ส่วนอีก 7.5 ล้านเสียงที่หนีไป เลือกในเชิงยุทธศาสตร์ คือเลือกเพื่อให้ซีก พล.อ.ประยุทธ์ชนะ เมื่อ ปชป.ประกาศไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์ จึงเลือกที่จะลงคะแนนให้ พปชร.
หากหยั่งอารมณ์ของคนที่เป็น (และที่เคยเป็น) แฟน ปชป.หลังเลือกตั้ง ยังมี 2 ขั้วเช่นเดิมคือ ขั้วที่อยากให้ ปชป.เป็นฝ่ายค้านอิสระ ไม่ช่วยเหลือ พปชร. ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่ม 3.9 ล้านเสียง กับขั้วที่อยากให้ไปร่วม พปชร. (น่าจะเป็นกลุ่ม 7.5 ล้านเสียงที่หนีไป)
เริ่มมีแฟน ปชป.บางคนออกมาขู่แล้วว่า หาก ปชป.ไม่ยอมไปร่วมกับ พปชร. ครั้งหน้าจะไม่เลือกอีก
หาก ปชป.เป็นฝ่ายค้านอิสระในครั้งนี้ น่าติดตามว่าครั้งหน้า ปชป.จะเหลือเก้าอี้เท่าไหร่ แต่มีแนวโน้มสูงว่าจะได้ไม่มากไปกว่าวันที่ 24 มีนาคม