‘ท้าวสุทัศน์แห่งกรุงรัตนา’ พระบิดาพระอภัยมณีและศรีสุวรรณ พระชนมาน120ปี ที่สุนทรภู่เล่าไว้อย่างเห็นภาพ

ญาดา อารัมภีร

แก่-หนุ่มอยู่ที่ใจ ?

ว่ากันว่า “แก่” หรือ “หนุ่ม” ก็กระชุ่มกระชวยได้พอกัน ถ้ายังมีไฟอยู่ ดูอย่างท้าวสุทัศน์แห่งกรุงรัตนา พระบิดาพระอภัยมณีและศรีสุวรรณ ครองราชย์อย่างเป็นสุขมาจน “พระชนมานร้อยยี่สิบปีปลาย” ก็เริ่มออกอาการ สว.เต็มขั้น ดังที่สุนทรภู่เล่าไว้ในนิทานคำกลอนเรื่อง พระอภัยมณี ว่า

“ให้ลืมหลงสรงเสวยพานเลยละ ลมประทะพระหทัยมิใคร่หาย”

มีอาการเลอะเลือนหลงๆ ลืมๆ เสวยแล้วว่ายังไม่ได้เสวย ประชวรพระวาโยเป็นลมอยู่บ่อยๆ ทั้งยังหงุดหงิดคนแก่ด้วยกันเสียอีก “คนแก่เฒ่าสาวใหญ่มิให้กราย คิดระคายเคืองขัดพระหัทยา” แต่ถ้าเป็นสาวๆ ละก็ทรงชื่นชอบเป็นพิเศษ “ชอบพระทัยใช้สอยแต่สาวสาว ที่รุ่นราวรู้หลักโปรดหนักหนา”

มีอยู่คืนหนึ่งสาวๆ คงปรนนิบัติดีเกินไปทำเอาทรงเพลินอารมณ์เสียจน

“ลืมบรรทมลมจับวับวิญญา พอเวลาไก่ขันสวรรคต”

ท้าวสุทัศน์ทรงเป็น สว.รุ่นพี่ อายุ 120 ปีเศษแล้ว กำลังวังชาจึงสู้ท้าวสันนุราชแห่งกรุงพัทธวิสัย ที่เป็น สว.รุ่นน้องไม่ได้ รายหลังแม้ความหนุ่มแน่นชักจะถดถอย แต่กำลังกายกำลังใจยังเต็มร้อย ดังที่พระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง คาวี เล่าว่า

“ท้าวมีอัศเรศมเหสี ชื่อคันธมาลีเสนหา

อยู่ด้วยกันแต่หนุ่มคุ้มชรา ชันษาหกสิบสี่ปีปลาย

หน้าพระทนต์บนล่างห่างหัก ดวงพระพักตร์เหี่ยวเห็นเป็นเส้นสาย

เกศาพึ่งจะประปราย รูปกายชายพีจะมีเนื้อ

พระเสวยมื้อละชามสามเวลา ทรงกำลังวังชาประหลาดเหลือ

พอใจเกี้ยวผู้หญิงริงเรือ ผูกพันฟั่นเฝือไม่เบื่อใจ

ราวกับหนุ่มคลุ้มคลั่งนั่งบ่น จะหางามเล่นสักคนหนึ่งให้ได้

รำพึงคะนึงคิดเป็นนิจไป มิได้ว่างเว้นสักเวลา”

ท้าวสันนุราชหลงใหลเส้นผมหอมกรุ่นในผอบทองที่ลอยน้ำมา ถึงกับพร่ำเพ้อว่า

“ผมนี้ดีร้ายนางสาวน้อย แกล้งลอยหาคู่สู่สม

ชะรอยบุญเราเคยได้เชยชม จึงพบผอบผมกัลยา”

ได้ผอบผมหอมมาก็เอาแต่ “กอดผอบประทับกับทรวงไว้” ร้องไห้คร่ำครวญอยากเห็นหน้าเจ้าของเส้นผม พอพระมเหสีปลอบว่า “ทรงพระชราหนักหนาแล้ว ทูลกระหม่อมเมียแก้วจงหักใจ” เท่ากับไปจี้จุดระเบิดของพระสวามี

“ขัดใจเกรี้ยวกราดตวาดอึง

ดูดู๋ทำราวกับสาวแส้ ไม่เจียมตัวว่าแก่สักนิดหนึ่ง

แกล้งมานั่งเฝ้าพะเน้าพะนึง จะคอยหึงหวงข้าฤาว่าไร

ฉวยพระขรรค์งันงกกะปลกกะเปลี้ย พิโรธโกรธเมียดังเพลิงไหม้

สะดุดโดนสาวสวรรค์กำนัลใน แล่นไล่ลุกล้มไม่สมประดี”

ความหลงใหลอย่างไร้ขีดจำกัด แม้ต่อมารู้ทั้งรู้ว่านางผมหอม “จันท์สุดา” สาวคราวลูกนั้นมีคู่แล้ว ก็ยังเห็นดีเห็นงามกับ “แผนฆ่าผัวเสียชิงเมียมา” โดยอาศัยความช่วยเหลือจากยายเฒ่าทัดประสาท ท้าวสันนุราชแต่งองค์อย่างพิถีพิถันเพื่อให้นางจันท์สุดาประทับใจ แต่งไปก็ปลอบใจตัวเองไปพลาง

“ห่มสีทับทิมกรองคล้องคอ ใครดูกูหนุ่มฟ้อขึ้นฤาไม่

นั่งมองส่องกระจกยิ้มละไม ก็ยังไม่แก่กระไรทีเดียวนัก

ผมเผ้าพิศดูไม่สู้หงอก เสียสิ่งเดียวดอกแต่ฟันหัก

ถึงกระนั้นโฉมยงก็คงรัก แล้วทรงศักดิ์เสด็จจากแท่นทอง”

เห็นผู้หญิงที่ผัวเพิ่งตายนั่งซบหน้าร้องไห้ ท้าวเธอก็ปราดเข้าไปเกี้ยวพาราสีทันที

“นี่กุศลหนหลังเราทั้งสอง เคยเป็นคู่ครองเสนหา

เก็บดอกไม้ไหว้พระด้วยกันมา วาสนาทำไว้จึงได้น้อง”

นางจันท์สุดาฟังแล้วก็สวนกลับฉับพลัน

“นี่แน่ออเฒ่าเจ้ากรุงไกร ช่างไม่คิดถึงตัวมัวเมา

จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ยังจะเที่ยวเกี้ยวชู้อยู่อีกเล่า

จนฟันหักผมหงอกเหมือนดอกเลา ลูกเขาเมียเขาก็ไม่คิด

คบกันกับอีเฒ่าเจ้าเล่ห์ ทำการเกเรทุจริต

ลอบฆ่าสามีกูม้วยมิด มิหนำซ้ำปลิดเอาเมียมา

อย่าพักว่าวอนให้อ่อนใจ กูไม่มุ่งมาดปรารถนา”

ท้าวสันนุราชพยายามหว่านล้อมอย่างสุดความสามารถ

“อย่าเยาะเย้ยเลยเจ้าว่าเฒ่าแก่ พี่แพ้ฟันดอกจะบอกให้

อันอายุอานามกับทรามวัย เห็นจะไม่กระไรกันนัก

อย่าชิงชังรังเกียจที่หนุ่มแก่ จงชมแต่ยศถาบรรดาศักดิ์

พี่จะเสกโฉมยงนงลักษณ์ ให้เป็นเอกอัครเทวี

ทุกวันท่านยายก็แก่เฒ่า ขอเชิญเจ้าร่วมแท่นแทนที่

สมบัติพัสถานเรามั่งมี คงดีกว่าผัวเก่าของเจ้าจน”

เมื่อผู้ใหญ่ไม่ทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ เด็กก็ถอนหงอกเข้าให้ ไม่ต้องเกรงใจกันอีกต่อไป

“ไม่คิดว่าแก่เฒ่าจะเข้าโลง ยังโอ่โถงทำหนุ่มน่าบัดสี

ไม่ช้านักสักปีหนึ่งสองปี จะได้เกี้ยวกับผีที่ป่าช้า

น่าหัวร่อทั้งทุกข์สนุกจ้าน ดื้อด้านซานซมหนักหนมหนักหนา

ดูเหมือนมิใช่ท้าวพระยา เวทนาเชิญไปเสียให้พ้น”

ท้าวสันนุราชใช้วิธีเจ้าชู้ยักษ์ ปล้ำเสียเลย แต่ต้องรีบผละออกจากนางแทบไม่ทันเพราะ

“อำนาจนางซื่อสัตย์ต่อภัสดา พระราชาร้อนรนไม่ทนได้”

ร่างกายนางจันท์สุดาร้อนขนาดที่ท้าวสันนุราชต้อง “รีบไปสรงชลกระวนกระวาย”

ท้าวสันนุราชเสาะหาหมอมาทำเสน่ห์ให้นางหลงใหล เผอิญไปเจอหมอเก๊ “เฒ่าชราหากินด้วยลิ้นลม ใครชิดชมฉิบหายเสียหลายคน” หมอเฒ่าเจ้าเล่ห์ถวายตัวช่วยสารพัด เช่น ผงผัดหน้า ขี้ผึ้งสีปาก และเครื่องหอมปลุกเสกให้สาวยอมมอบกายถวายใจ

ผลคือนางจันท์สุดาด่าไฟแลบและออกฤทธิ์ถึงขั้น

“ลุกขึ้นกระทืบเตียงเสียงตึงตึง ดื้อดึงดุดะไม่ละลด

พานหมากพานพลูที่อยู่ใกล้ ก็ปัดไปเปรื่องปร่างขว้างเสียหมด

ฉวยน้ำซ้ำสาดราดรด ทำประชดชิงชังรังแก”

ฤทธิ์เดชของหญ้าอ่อนทำเอาโคแก่แทบจะถอดใจ

“เสียน้ำใจในคอท้อแท้ จนเป็นลมล้มแน่นิ่งไป

ให้เวียนหัวมัวตาหน้ามืด ครางอืดบ่นออดทอดใจใหญ่

ดูดู๋เดิมเห็นดีมีน้ำใจ หมายได้ไม่แคล้วแล้วทีเดียว

มิรู้กลับแกล้วกล้าบ้าเลือด ดุเดือดเต็มประดาตาเขียว

ไม่รอติดผิดผู้หญิงจริงเจียว ขี้เกียจเกี้ยวรับแพ้แล้วแม่คุณ”

ฝ่ายหลวิชัย พี่ชายคาวี (สวามีนางจันท์สุดา) หลังจากช่วยน้องคืนชีวิตมาได้ก็คิดแก้แค้นแทนโดยตกลงกับคาวีว่า “จะแปลงตัวเจ้าเท่าตุ๊กตา อยู่ในย่ามพี่ยาจะพาไป” หลวิชัย “กลายเพศเป็นดาบส ทรงพรตงดงามหนักหนา” ขณะนั้นท้าวสันนุราชยังไม่ละความพยายามที่จะครอบครองสาวคราวลูก จึงส่งเสนาไปป่าวประกาศหาผู้มีอาคมชุบตัวให้เป็นหนุ่ม มีรางวัลตอบแทนอย่างงาม

เข้าทางฤษีปลอมพอดี ฤษีกล่าวแก่เสนาว่าแก่แค่ไหนก็ชุบให้หนุ่มได้สบายมาก

ความที่อยากลิ้มรสเสน่หาจนหน้ามืดทำให้ท้าวสันนุราชมองข้ามความไม่ชอบมาพากล ยอมทำพิธีลับเฉพาะสองต่อสองภายในโรงพิธีที่มีม่าน 7 ชั้นกั้นอย่างมิดชิด เบื้องล่างขุดหลุมขนาดใหญ่ไฟลุกโชติช่วง

ขณะที่ฤษีอ่านเวทชุมนุมเทวดา บริกรรมคาถาชุบตัว ท้าวสันนุราชนั่งหันหน้าเข้าหากองไฟได้แป๊บเดียวก็ผุดลุกขึ้นเพราะทนร้อนไม่ไหว ฤษีจึงเย้ยว่า “แต่ถูกร้อนนิดหนึ่งก็ถอยหนี นี่ฤๅจะมีเมียสาว” ทั้งยังกระตุ้นความอยากหนุ่มของท้าวสันนุราชด้วยการปั้นขี้ผึ้งเป็นรูปคนแล้วทูลว่าจะชุบสิ่งนี้ให้เป็นคน ขอให้ท่านท้าวนั่งหันหลังหลับตาอย่ามองมาขณะทำพิธี

ฤษีปลอมพึมพำคาถาแล้วโยนรูปปั้นลงในหลุมไฟให้ละลายไป จากนั้นก็ “เอาพระคาวีออกจากย่าม จะให้เห็นสมความว่าชุบได้” พอท้าวสันนุราชลืมตาดูเห็นว่ารูปปั้นนั้นกลายเป็นหนุ่มรูปงาม ใจก็มาเป็นกอง ตรัสกับฤษีว่า “โยมจะไปนั่งอยู่อย่างเก่า ถึงร้อนเร่าเท่าไรไม่ถอยหนี”

ขณะที่ท้าวสันนุราชนั่งพนมมือฝันหวานถึงรูปโฉมใหม่ ฤษีหลวิชัยก็

“ได้ทีผลักท้าวเจ้ากรุงไกร คะมำม้วนลงไปในอัคคี”

รักต่างวัยก็เอวัง ปิดฉากโคแก่อดลิ้มหญ้าอ่อนไปเรียบร้อย