การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เพื่อจะอยู่ในความมืดและแสงสว่าง

[ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่สูงส่งในด้านจิตวิญญาณ1 มีเวลาเหลือเฟือสำหรับพักผ่อนและทำงานอดิเรกที่เขารัก เช่น การเขียนกวีไฮกุ หรือแต่งเพลง ฟูกูโอกะได้แสดงให้เราเห็นว่า มนุษย์แต่ละคนมีศักยภาพอย่างเต็มเปี่ยมสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นอิสระและสมบูรณ์ โดยอาศัยเกษตรกรรมธรรมชาติเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ชีวิตดังกล่าว

ดังนั้น ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดหรือประสบการณ์ด้านเกษตรเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องชีวิตทั้งชีวิตของชาวนาญี่ปุ่นคนหนึ่งซึ่งมีอดีตเป็นนักวิทยาศาสตร์ และมิใช่เรื่องส่วนตัวหรือเฉพาะประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น

หากแต่เป็นเรื่องสากลสำหรับมนุษยชาติทั้งปวงบนโลกใบน้อยดวงเดียวกันและยุคสมัยเดียวกันนี้]

 

ฉันจ้องดูหนังสือในมืออย่างอดตื่นตะลึงไม่ได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าป่าเขา มีชีวิตอยู่ในแวดล้อมของท้องทุ่งนา ทว่า ไม่เคยมีใครบอกฉันอย่างนี้มาก่อนเลย

…ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่สูงส่งในด้านจิตวิญญาณ มีเวลาเหลือเฟือสำหรับการพักผ่อนและทำงานอดิเรกที่เขารัก เช่น การเขียนกวี…

มันมีชาวนาที่ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ…จริงหรือ…จริงๆ เลยหรือ?

ทุกวันที่ชีวิตฉันดำเนินไป พ้นจากครอบครัวของตัวเองไปแล้ว ก็ไม่เคยมีใครจะรู้สึกว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่เป็นเรื่องปกติธรรมดาสักคน

ได้ยินลอยมาเข้าหูก็ไม่รู้กี่หน

“อีพี่มันบ้า”

“มันเป็นคนบ้าหนังสือ นั่นแหละ ผลของการอ่านหนังสือมาก!”

“อีพี่มันสลิดดก! อยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง ทำเป็นหัวสูงขีดๆ เขียนๆ หนังสือก็ไม่ใช่ได้เรียนกับเขา ง่าวเซอะถึงเพียงนั้น เอ็นดูอีพ่ออีแม่มันแท้!”

“มึงก่พูดยังกะไม่ใช่พี่น้องมัน อีโฟ”

“โอ้ย ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเป็นหรอก อับอายชาวบ้าน มีน้องขี้เกียจขี้คร้าน เอาแต่ฝันหาน้ำบ่อหน้า ลูกก๋งยังไม่มีริจะไปล่าเหล่า!”

แน่ละ คำอู้จ๋าแสบไหม้ที่สุดย่อมมาจากพี่โฟ

การเปรียบเทียบว่า ฉันเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ฝันหาน้ำบ่อหน้า ลูกหนังสติ๊กสักเส้นยังไม่มี ริจะไปเข้าป่าล่าสัตว์ นั่นคือการกระทบกระเทียบเปรียบเปรยคนโง่คนง่าว ใฝ่หาเดือนดาวทั้งที่ตัวอยู่ต่ำกว่าผืนดินเสียอีก

ตกหล่มจมเหวอยู่ยังหาสำนึกตัวไม่

…ซึ่งก็ได้เพียงฟังไว้ สะกดใจ เพราะระลึกไปก็จริงอย่างเขาว่าทุกอัน ในทุกๆ วัน ที่ทำงานได้ค่าแรงสิบกว่าบาท แต่ยังวาดสวรรค์วิมาน ปั้นข้าวเหนียวเป็นกาวติดกระดาษ นั่งอ่านนั่งเขียน ลงมือทำจุลสาร ทำในสิ่งที่โง่ดักดานเสมอมา

ทว่า…สิ่งที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ ที่เพียงบัวส่งมาให้ มันทำให้คล้ายมีสิ่งสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ข้างใน แค่ไม่กี่บรรทัดที่ผ่านตา ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีคนพูดอย่างนี้

จริงหรือ เราสามารถมีชีวิตเรียบง่าย ใช้เงินน้อยๆ และเขียนบทกวีไปพร้อมๆ กับการทำสวนทำไร่ได้จริงหรือ…?

 

[สวนผลไม้ของฟูกูโอกะตั้งอยู่บนเชิงเขา ซึ่งมองลงไปเห็นอ่าวมัทซึยาม่า นี่คือ “ภูเขา” ที่นักเรียนของเขาพักอาศัยและทำงาน พวกเขาส่วนใหญ่มาในลักษณะเดียวกันกับผม สะพายเป้มาบนหลัง และก็ไม่รู้ว่าจะคาดหวังอะไรบ้างจากการมา บางคนมาอยู่ไม่กี่วัน หรือไม่กี่อาทิตย์ ก็เผ่นลงจากเขาไป แต่ที่นั่นก็ยังมีกลุ่มแกนราว 4-5 คน ที่มาอยู่อาศัยเป็นปีหรือมากกว่านั้น หลายปีที่ผ่านมามีผู้คนทั้งชายและหญิงพากันมาอยู่ที่นี่และทำงาน

ที่นี่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกแบบสมัยใหม่ น้ำดื่มต้องใช้ถังหิ้วเอามาจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติ อาหารหุงขึ้นจากเตาถ่าน และแสงสว่างยามค่ำคืนได้จากเทียนและตะเกียงน้ำมันก๊าด…]

ฉันทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำมาก่อน แต่ก็เป็นความพอใจที่ได้ทำ

ในค่ำคืนหนึ่ง หลังกรอกยาแก้ปวดแบบผงเข้าคอ ตามด้วยน้ำอีกสองสามอึกใหญ่ๆ เพื่อหวังให้มันช่วยบรรเทาอาการปวดร้าวที่เอวและแผ่นหลังจากการทำงานหนักมาตลอดวัน ฉันก็ลุกขึ้นดับไฟนีออน และจุดเทียนอ่านหนังสือ

ซองยาแก้ปวดหัวยาว คือประจักษ์พยานของการขุดดินในแปลงกว้างใหญ่ไพศาลจนเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้นเสียที ขณะที่คนอื่นๆ มีจอบคมวาววับ และฉันมีจอบด้ามหนักทื่อๆ สำหรับการลงแรง ทำให้ทุกครั้งที่เงื้อจอบขึ้นสูงแล้วสับลงไป หลังไหล่และมือแขนจะรวดร้าวแทบสั่นระริก

มันไม่ได้เป็นงานหนักอะไรมากมาย แต่เพราะในแต่ละวัน มันคืองานที่ต้องทำ ไม่ว่าจะฝนตก แดดออก ต่อให้ตัวเปียกปอนหรือหน้าไหม้แดดอย่างไร ก็ต้องทำซ้ำๆ ทำไปในแต่ละหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และต้องพยายามไม่ให้ตัวเองป่วยไข้

เมื่อไหร่ที่ป่วย เมื่อไหร่ที่ทำงานไม่ไหว เงินก็จะหายไปด้วย

ฉันคิดเสมอว่า ไม่ได้อยากรวย อยากให้โลกนี้ไม่มีระบบเงินตราเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะคนเราจำเป็นต้องมีเงิน เราจึงจะมีอิสระ ฉันจำเป็นจะต้องลุกมาทำงานหาเงิน ทำอะไรก็ได้ให้มีเงินเท่าที่จะพอมีพอได้

เงินเท่านั้นจะพาไปสู่ชีวิตใหม่ ถ้าไม่ตาย ก็ไม่มีเป้าหมายอื่นใดให้ต้องไขว่คว้านอกจากการหาเงิน

ถ้ามีเงิน ใครๆ ก็จะอยู่สุขสบายมากขึ้น หรืออย่างน้อยๆ เมื่อเรามีเงิน ก็จะมีคนมายุ่งกับเราน้อยลง

แต่หนังสือที่เพียงบัวส่งมาให้ เล่มล่าสุดนี้ กลับพูดในสิ่งที่ไม่ให้คุณค่าความสำคัญกับเงิน…

 

[การงานจะเปลี่ยนไปตามอากาศและฤดูกาล เวลาทำงานเริ่มจาก 8 โมงเช้า และหยุดพักเที่ยง 1 ชั่วโมง (2-3 ชั่วโมงในช่วงที่ร้อนที่สุดกลางฤดูร้อน) นักศึกษาเหล่านั้นจะเลิกงานกลับสู่กระท่อมก่อนค่ำมืด นอกจากงานด้านเกษตรแล้วยังมีงานบ้านที่ต้องทำทุกวัน คือการตักน้ำ ผ่าฟืน ทำอาหาร เตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบ ดูแลแพะ ให้อาหารไก่และเก็บไข่ ดูแลรังผึ้ง

ซ่อมแซมบ้าน หรือบางครั้งก็ช่วยกันสร้างบ้านใหม่

และทำเต้าเจี้ยว (มิโซะ) กับเต้าหู้]

ฉันยังจำภาพและเสียง และกลิ่นของการผ่าฟืนในสมัยก่อนได้ ที่ในกลางข่วงบ้าน การได้ยินเสียงขวานสับลงในไม้ฉึกฉัก แล้วไม่นานนักก็จะได้กลิ่นควันไฟ

…แปลกเหลือเกิน ประโยคไม่กี่บรรทัดในหนังสือ ก็ทำให้ตัวฉันเองหวนระลึกย้อนกลับไป

มันนานแค่ไหนแล้วนะ ที่เราไม่ได้อยู่อย่างนั้น วันที่ตัวฉันยังเป็นเพียงเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ถึงจะคีบรองเท้าแตะไปโรงเรียน สะพายย่ามเก่าๆ แต่ที่บ้านของเราก็มีบางสิ่งบางอย่าง ที่ทำให้ฉันยังมีวันแอบฟูๆ ในใจ

มันอาจจะเป็นกลิ่นดอกไม้ กลิ่นฝนที่อวลมาในอากาศ กลิ่นดอกมะม่วงในสายลม หรือยามเม็ดฝนพร่างพรมลงบนขี้ดิน รวมถึงกลิ่นของโคลนดินตลิ่งฝั่ง ฤดูน้ำนอง กลิ่นของปลาที่กระโดดดิ้นขึ้นมาจากยอที่แม่ยกได้

หรือกลิ่นอีกสารพัดมากมาย…ที่ไม่เกี่ยวข้องกับใบเขียวใบแดง

 

[ฟูกูโอกะใช้เงิน 10,000 เยน (ประมาณ 700-800 บาท) ในแต่ละเดือนเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับความเป็นอยู่ในชุมชน

ส่วนใหญ่จะใช้ไปในการซื้อซีอิ้วที่ทำจากถั่วเหลือง น้ำมันพืช และของใช้จำเป็นอื่นๆ ที่ไม่สามารถทำกันเองในชุมชนขนาดเล็ก สิ่งจำเป็นอื่นๆ นอกนั้น นักศึกษาเหล่านั้นต้องพึ่งจากพืชพันธุ์ที่พวกเขาผลิตขึ้นทั้งหมด วัตถุดิบหาได้ในบริเวณนั้น และความสามารถส่วนตัวของเขา ฟูกูโอกะเจตนาที่จะให้นักศึกษาของเขาใช้ชีวิตในลักษณะกึ่งบรรพกาลแบบนี้ เช่นเดียวกับที่เขาเป็นอยู่มาเป็นเวลาหลายปี เพราะเขาเชื่อว่าวิถีชีวิตเช่นนี้จะพัฒนาประสาทสัมผัสอันละเอียดอ่อน อันจำเป็นต่อการทำไร่นาตามวิธีแบบธรรมชาติของเขา]

 

โอ…มันมีผู้คนจำนวนหนึ่ง ใช้ชีวิตกันอย่างนี้อยู่หรือ ในประเทศที่เจริญกว่าประเทศของเรา ก็ยังมีคนทำแบบนี้?

เหมือนมีสิ่งที่ฉันไม่รู้จัก ค่อยๆ ผุดแทงขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายได้อย่างไร คล้ายๆ เมื่อรู้ตัวเสมอว่า ยังมีหนามแข็งๆ ฝังซ่อนแทงอยู่ในอก แต่จู่ๆ ก็มีอะไรอีกสักอย่าง งัดง้างหนามนั้นขึ้นมา เพื่อว่าจะมีอีกต้นเล็กๆ แทงไชแทรกตามมาด้วย

มันมีเค้าลางว่า จะเป็นต้นพันธุ์ที่มีดอกสวย…ดอกไม้ที่ฉันยังไม่รู้จัก แต่นึกรักทั้งๆ ที่เพียงได้กลิ่น

มันมีกลิ่น…ส่อแววจะชื่นใจ

 

[ในฤดูใบไม้ร่วง ฟูกูโอกะจะหว่านเมล็ดข้าวเจ้า พืชคลุมดินจำพวกถั่ว พวกไวท์ โคลเวอร์ และธัญพืชฤดูหนาวลงบนที่ดินผืนเดียวกัน แล้วจากนั้นคลุมด้วยฟางข้าวให้หนาๆ ข้าวบาร์เลย์หรือข้าวไรย์รวมทั้งพืชจำพวกถั่วเช่นโคลเวอร์จะงอกขึ้นก่อนในขณะที่เมล็ดข้าวเจ้าจะนอนสงบนิ่งอยู่จนถึงฤดูใบไม้ผลิ

ในขณะที่ธัญพืชฤดูหนาวเติบโตขึ้น และกำลังสุกอยู่ในที่นาข้างล่าง สวนผลไม้ตามเนินเขาก็กำลังเป็นที่ชุมนุมของกิจกรรมทั้งหลาย การเก็บผลส้มจะมีระยะตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน จนถึงเดือนเมษายน

ข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์จะเก็บเกี่ยวในเดือนพฤษภาคม และจะแผ่ผึ่งแดดอยู่ในนาประมาณ 7-10 วัน หลังจากนั้นก็จะนำมานวด ฝัด และเก็บใส่กระสอบไว้ ฟางทั้งหมดจะนำมาโปรยคลุมพื้นที่นาเอาไว้โดยไม่ต้องสับ แล้วจึงปล่อยน้ำให้ท่วมขังในนาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในระหว่างฤดูมรสุมในเดือนมิถุนายน เพื่อทำให้พืชคลุมดินจำพวกถั่วและวัชพืชเฉาลง และเปิดโอกาสให้ต้นข้าวแตกหน่อแทงยอดออกมา เมื่อปล่อยน้ำออกจากที่นา พืชคลุมดินจะฟื้นตัวขึ้นมาใหม่และงอกงามอยู่ภายใต้ต้นข้าว

จากช่วงนี้จนถึงหน้าเก็บเกี่ยว จะเป็นช่วงงานหนักของเกษตรกรโดยทั่วไป แต่งานในที่นาของฟูกูโอกะจะมีเพียงการดูแลทางระบายน้ำ และถางหญ้าตามทางเดินระหว่างคันนาเท่านั้น]

 

ยิ่งอ่าน ยิ่งเหมือนดอกไม้ดอกนั้น จะค่อยๆ ผลิกลีบ แตกใบ ขยับขยายขึ้นในเงามืดใต้แสงไฟ เป็นดอกไม้สีขาวเหมือนดวงดาว…หรือบางที มันอาจจะเป็นดาวของเจ้าชายน้อย เพียงแต่ดอกไม้ของฉันไม่ใช่กุหลาบ มันมีสีขาว ใช่…ฉันรู้สึกว่า มันเป็นสีขาว

หรือว่า มันจะเป็นมะลิหอมดอกน้อย ที่ค่อยๆ ผลิดอกตูมมาในความเงียบสงัด ขณะที่ฉันล้มตัวลงนอนคว่ำ เอาหมอนหนุนอก กางหนังสือออกอ่านใต้แสงไฟเทียน

ฉันลุกมาดับไฟฟ้าแล้วจุดเทียน เพื่อจะอยู่ในความมืดและแสงสว่าง อย่างที่หนังสือกล่าวไว้ในตอนหนึ่ง ถึงวิถีชีวิตของฟูกูโอกะ…

——————————————————————————————————————-
จากหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล