วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร /พเนจร ลุแคว้น กังหนำ (182)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร

พเนจร ลุแคว้น กังหนำ (182)

 

มีความเสียใจอย่างแน่นอน แม้ว่าพื้นฐานแห่งความเสียใจจะมาจากคำของอึ้งย้งในเรื่องแม่ชีเทพยดาน่ำไฮ้ แต่ในที่สุดก็คือ ความรู้สึกที่มิอาจได้พบพานกับเซียวเล้งนึ่ง แม้จะรอคอยด้วยความหวังมาเป็นเวลาถึง 16 ปีแล้ว

แม้ไม่ทราบความนัยอันแท้จริง แต่อึ้งเอี๊ยะซือห่วงใยมันอย่างยิ่ง

“เล่าตี๋มีเรื่องลำบากใจอันใด ขอให้บ่งบอกตรงๆ เล่าฮูไม่แน่ว่าจะสามารถช่วยเหลือได้อีกแรงหนึ่ง”

เป็นความลำบากใจอย่างแน่นอน เพราะปัจจัยหนึ่งที่เข้ามาพันพัวคืออึ้งย้ง ซึ่งเป็นธิดาสุดที่รักของอึ้งเอี๊ยะซือ ที่เอี้ยก่วยทำได้ก็เพียงแค่ประสานมือคารวะจนจรดพื้นกล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือ

“ผู้เยาว์จิตใจว้าวุ่นดุจกองปอ กล่าววาจาแสดงกิริยาไม่เหมาะสม โปรดอภัยด้วย”

พลางโบกแขนเสื้อหันกายลงจากเหลา ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังไม่ขาดหู บันไดเหลาล้วนถูกมันย่ำเหยียบเสียหายไป

อึ้งเอี๊ยะซืองุนงงสงกาขบคิดไม่เข้าใจ “แม่ชีเทพยดาน่ำไฮ้ แม่ชีเทพยดาน่ำไฮ้ นั่นเป็นใคร”

แน่นอน เพียงเพราะคำปฏิเสธด้วยความไม่รู้และด้วยความจริงใจจากอึ้งเอี๊ยะซือ เอี้ยก่วยก็แจ้งประจักษ์ว่าแท้จริงแล้วนามของแม่ชีเทพยดาน่ำไฮ้เสมอเป็นเพียงการปั้นแต่งขึ้นมาของอึ้งย้ง เป้าหมายก็เพื่อปลอบใจเอี้ยก่วย

แม้มีเจตนาดี แต่ในใจของเอี้ยก่วยเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง

 

กิมย้งบรรยายสภาพของเอี้ยก่วยตามสำนวนแปลของ น. นพรัตน์ ออกมาว่า เอี้ยก่วยทุ่มเทฝีเท้าวิ่งตะบึงในเวลาหลายวัน หลายคืน ยังไม่ดื่มกิน ไม่นอนหลับ เพียงพุ่งกายไปราวกับพายุหอบหนึ่ง

เห็นว่ามีแต่สร้างความเหนื่อยล้าปางตายจึงไม่ครุ่นคิดคำนึงถึงเซียวเล้งนึ่ง

ที่แท้ภายภาคหน้าสามารถพบกับนางอีกหรือไม่ ยามนี้กระทั่งครุ่นคิดยังไม่กล้าครุ่นคิด จนมาถึงริมแม่น้ำใหญ่ คนเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจมิอาจยืนหยัดวิ่งตะบึงได้เช่นกับเมื่อหลายวันก่อน เห็นเรือใบลำหนึ่งแล่นใกล้เข้ามาเทียบฝั่ง

จึงกระโดดปราดขึ้น ล้วงเงินแท่งหนึ่งโยนให้แก่คนเรือ ไม่ถามไถ่ว่าเรือคิดแล่นสู่ที่ใด มุดเข้าท้องเรือล้มตัวลงหลับใหล

แม่น้ำใหญ่ไหลหลั่งสู่บูรพา ระลอกคลื่นขุ่นข้นเชี่ยวกราก เรือที่โดยสารแล่นเลียบตามกระแสน้ำ พอถึงตลาดการค้าแห่งหนึ่งต้องจอดเทียบเป็นเวลาหลายวันรับสินค้า ถ่ายสินค้า ที่แท้เป็นเรือวาณิชรับ-ส่งสินค้าบนแม่น้ำแยงซีเกียง

จะอย่างไรมันก็คิดท่องพเนจรไปทุกแห่ง ไม่สนใจว่าเรือเสียเวลาในระหว่างทาง

 

ระหว่างอยู่ในเรือ กลางวันเอาแต่เมา กลางคืนกู่ร้องยาวนาน ไม่รับรู้วันเวลาที่ผ่านพ้น คนเรือและนายวาณิชเห็นมันจ่ายเงินทองให้เข้าใจว่าผู้นี้เป็นคนบ้าคลั่ง ตกยากในยุทธจักร จึงไม่ให้ความสนใจ

ในที่สุดเรือแล่นเทียบท่าถึงเมืองกังอิมได้ยินนายวาณิชบอกว่า “จะไปซื้อแพรไหมที่เกียเฮงกับลิ่มอัน”

พอเอี้ยก่วยได้ยินคำ “เกียเฮง” พลันใจหายวูบ ฉุกคิดขึ้น

“ครั้งกระโน้นบิดาเราถูกอึ้งย้งทำร้ายเสียชีวิตในศาลเจ้าทวนเหล็กเมืองเกียเฮง บอกว่าตกเป็นอาหารของนกกา หรือกระทั่งโครงกระดูกก็กระจัดกระจายหายสิ้น เราไม่บรรจุฝังโครงกระดูกบิดาให้ดี นับเป็นความอกตัญญู”

นึกถึงตอนนี้ก็ละเรือขึ้นสู่ฝั่ง

เมื่อเข้าสู่ตัวเมืองเป็นเวลาใกล้สนธยาจึงเสาะหาเหลาสุราแห่งหนึ่ง ดื่มกินอาหาร ถามไถ่เส้นทางไปยังศาลเจ้าทวนเหล็ก

ยามนี้เป็นฤดูหนาว แดนกังหนำแม้ไม่เหน็บหนาวกันดารเท่ากับทางภาคเหนือ แต่ก็ปรากฏลมหิมะอยู่ทุกแห่งหน มันเดินฝ่าเกล็ดหิมะที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ก้าวยาวๆ ออกเดินทางถึงศาลเจ้าทวนเหล็กในตอนยามสอง

หิมะยังไม่หยุดตก ลมเหนือยังกระโชกแรง

 

เป็นความเศร้า เป็นความสิ้นหวังอย่างแน่นอน เป็นความเศร้า เพราะไม่แน่ว่าจะได้พบพานกับเซียวเล้งนึ่งอีกหรือไม่

เป็นความสิ้นหวัง เพราะแม้แต่อึ้งเอี๊ยะซือก็ไม่รู้ว่าแม่ชีเทพยดาน่ำไฮ้เป็นใคร

แต่ภายในความเศร้า ความสิ้นหวังนั้นก็นำพาเอี้ยก่วยให้เดินทางลงทางใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงเข้าสู่ดินแดนแคว้นกังหนำ

กระทั่งมาถึงเมืองเกียเฮงอันมากด้วยความหลังฝังจำ

เป็นความหลังที่รับรู้ว่าบิดาของมันเอี้ยคังต้องตายใต้การปะทะต่อสู้กับอึ้งย้ง เป็นการตกตายอย่างอนาถ ศพกลิ้งอยู่ในพื้นเป็นอาหารของแร้งกา

ใน ‘วิกฤต’ จึงเท่ากับเป็น “โอกาส”