เรื่องสั้น | วิชาหน้าด้าน

“ผมเสนอแนะให้กระทรวงศึกษาธิการเปิดสอนวิชาหน้าด้านแทนวิชาหน้าที่พลเมือง สถานการณ์ปัจจุบันไม่มีวิชาไหนที่เหมาะสมเท่ากับวิชานี้อีกแล้ว เป็นวิชาที่ทำให้คนก้าวหน้า เป็นใหญ่เป็นโต และอยู่ในตำแหน่งสูงๆ ได้นานที่สุด ควรเชิญใครมาเขียนหลักสูตร ผมคงไม่ต้องบอกนะ”

หลังจากผมโพสต์เฟซบุ๊กได้ไม่นาน เบียร์ยังไม่ทันหมดกระป๋อง ได้มีคำสั่งให้ลบโพสต์ และให้ไปรายงานตัวที่กระทรวงศึกษาธิการเป็นการด่วน

ผมไปถึงกระทรวงตอนบ่ายสามโมง เครื่องบินดีเลย์ รถติด และแท็กซี่พาวน ถือเป็นเรื่องดีที่ผมได้มีเวลาทำใจ แม้เคยมากระทรวงหลายครั้ง ทุกครั้งผมเป็นฝ่ายมารอพบ รอยื่นหนังสือ แต่คราวนี้ถูกเรียกพบ และถูกโทร.จิกทุก 5 นาทีหลังลงจากเครื่อง

ผมไปถึงประตูทางขึ้นตึก ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีผิวขาวอวบวัยราวสามสิบห้าพาผมขึ้นตึกชั้นสองโดยไม่ต้องแลกบัตร

รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงนั่งรออยู่แล้ว พูดคุยทักทายพอเป็นพิธี ก่อนเข้าประเด็นสำคัญ

“ผมยอมรับข้อเสนอของคุณ” รัฐมนตรีบอก

“ทำไมท่านต้องสั่งให้ผมลบโพสต์” ผมถาม

“เพราะผมต้องการให้คนคิดว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของผม เป็นผลงานของผม” รัฐมนตรีบอก

“ท่านสุดยอดหน้าด้านเลย” ผมบอก รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความเครียดหายเป็นปลิดทิ้ง

“คุณด่าหรือชม” รัฐมนตรีถาม “อ้อ ผมมีความคิดดีๆ แล้ว ต่อไปเราต้องกำหนดให้คำว่า “หน้าด้าน” เป็นคำชมด้วย หลักสูตรนี้ถึงจะประสบความสำเร็จ”

“ท่านสุดยอดฉลาดเลยครับ เอ้ย ท่านสุดยอดหน้าด้านเลยครับ” ปลัดกระทรวงบอก ผู้ช่วยเลขานุการพยักหน้าสนับสนุน

“คุณไปสำรวจมาให้หมด ว่าใครได้ดีเพราะหน้าด้านบ้าง ผมจะเชิญมาร่วมกันทำหลักสูตร” รัฐมนตรีสั่งผู้ช่วยเลขานุการสาว

“หนูเตรียมไว้หมดแล้ว” ผู้ช่วยเลขานุการรายงาน

“คุณนี่รู้ใจผมไปทุกอย่างจริงๆ” รัฐมนตรีบอก “ถ้าหน้าด้านกว่านี้ละก็…”

“หนูสงสารลูกเมียท่านค่ะ” ผู้ช่วยเลขานุการรีบตอบ

“มีใครบ้าง ที่ไปสำรวจมา” ปลัดกระทรวงช่วยตัดบท เปลี่ยนเรื่อง

“คนแรกก็ท่านปลัดนี่แหละค่ะ หน้าด้านมาก ชอบแอบจับก้นหนูเวลาไปส่งเอกสาร”

“ผมไม่เคย” ปลัดกระทรวงบอก

“ทำแล้วยังไม่ยอมรับ หน้าด้านจริงๆ” ผู้ช่วยเลขานุการบอก

“ถ้าไม่คิดว่าให้มาช่วยทำหลักสูตร ผมจะย้ายคุณไปนั่งตบยุงเป็นผู้ตรวจราชการ” รัฐมนตรีแสดงน้ำเสียงไม่พอใจ

“เหลืออีกไม่กี่เดือน ให้ผมเกษียณในตำแหน่งปลัดกระทรวงเถอะครับ” ปลัดกระทรวงบอก

ผมเช็กจากประวัติแล้ว ปลัดกระทรวงกับรัฐมนตรีเป็นเพื่อนกันสมัยเรียนปริญญาตรี เป็นนักกิจกรรมเหมือนกัน หน้าตาออกจีนๆ เหมือนกัน ต่างกันที่รัฐมนตรีผมบางเกือบจะล้าน ดูมีอายุแก่กว่าราวสิบปี คงเพราะความเครียดจากสถานการณ์การเมือง

“แล้วมีใครอีกบ้าง” รัฐมนตรีถามต่อ

“นอกนั้นมีรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง แต่เขาไม่มาช่วยหรอกค่ะ เขาไม่อยากให้ท่านมีผลงาน” ผู้ช่วยเลขานุการตอบ

“คุณว่ามีใครอีกบ้าง ที่หน้าด้าน” รัฐมนตรีหันมาทางผม

“พวกตำแหน่งที่ขึ้นต้นว่านายกทั้งหลาย ส่วนใหญ่หน้าด้านทั้งนั้น ท่านไล่รายชื่อดู” ผมเสนอ

คําสั่งแต่งตั้งคณะทำงานยกร่างหลักสูตรวิชาหน้าด้านประกาศในอาทิตย์ถัดมา ผมเป็นหนึ่งในคณะทำงานชุดนี้ มีปลัดกระทรวงเป็นประธาน

กิจกรรมช่วงเช้าเป็นการเสวนาเรื่อง “ความหน้าด้าน 5.0” เพื่อให้คณะยกร่างได้ความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติม โดยเชิญบุคคลหน้าด้านระดับประเทศมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีทั้งนักการเมือง อดีตผู้บัญชาการตำรวจ อดีตผู้บัญชาการกองทัพ ดารา เน็ตไอดอล ร่วมเสวนา

“เราต้องคิดว่าประชาชนโง่ คิดว่าคนอื่นโง่ เป็นหลักพื้นฐานของความหน้าด้าน” นักการเมืองบอก

“สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อความหน้าด้าน คือคำว่า “ชายชาติทหาร” เราต้องยกเลิกคำนี้” อดีตผู้บัญชาการกองทัพเสนอ

“เราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เป็นคำพูดหน้าด้านๆ ตอนที่ผมนึกอะไรไม่ออก” อดีตผู้บัญชาการตำรวจบอก

“ภาพตัดต่อ คือวิธีหน้าด้านแบบง่ายๆ” ดาราสาวบอก

“คิดเสียว่าคุยกับกล้อง ไม่ได้คุยกับคน สิ่งที่มองเราอยู่คือกล้อง มันไม่มีชีวิต” เน็ตไอดอลบอก

คณะทำงานประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ทั้งนักวิชาการอิสระ อาจารย์มหาวิทยาลัย ศึกษานิเทศก์ ต่างแย่งกันแสดงความคิดเห็น แสดงบทบาท และโต้เถียงกันอย่างหน้าด้านๆ แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่าง

กลุ่มศึกษานิเทศก์เสนอว่า เราต้องกำหนดให้ชัดก่อน หลักสูตรแต่ละระดับต้องการให้หน้าด้านระดับไหน ต้องมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน จนที่ประชุมสรุปได้ว่า

ระดับประถมศึกษา – หน้าด้านธรรมดา – พฤติกรรมชี้วัด เช่น ทำผิดเล็กน้อยแล้วไม่ยอมรับ แอบเปิดกระโปรงเด็กผู้หญิง ขอดูอวัยวะเพศเด็กผู้ชาย

ระดับมัธยมศึกษา – หน้าด้านมาก – พฤติกรรมชี้วัด เช่น ลอกการบ้านเพื่อน ยืมเงินเพื่อนแล้วไม่คืน ตบตีแย่งแฟนกัน

ระดับมหาวิทยาลัย – หน้าด้านสุดๆ – พฤติกรรมชี้วัด เช่น นอนกับอาจารย์แลกเกรด โพสต์คลิป โพสต์ภาพแลกไลก์ ขายวิว ขายคลิป ขายตัว ไซด์ไลน์

และหน้าด้านแบบคนด่าทั้งประเทศ หน้าด้านระดับตำนาน หน้าด้านโลกไม่ลืม ควรกำหนดไว้ในหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง

ทั้งหมดเพื่อพัฒนาสู่สังคมหน้าด้านอย่างเป็นธรรมชาติ หน้าด้านเต็มศักยภาพ หน้าด้านตามอัธยาศัย และหน้าด้านตลอดชีวิต

กลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัยได้เสนอเทคนิคหน้าด้านแบบต่างๆ เช่น การนิ่งเฉย ปฏิเสธ โยนความผิดให้คนอื่น จนไปถึงการตระบัดสัตย์

นักวิชาการอิสระเสนอแนะให้มีคำว่า “หน้าด้าน” ในคำขวัญวันเด็กและคำขวัญวันครู หน่วยงานของรัฐควรมีคำว่า “หน้าด้าน” อยู่ในวิสัยทัศน์ขององค์กร

หลังจากจัดทำหลักสูตรเสร็จ รัฐมนตรีได้แถลงข่าว และประกาศใช้หลักสูตรทั่วประเทศ

“ความหน้าด้านเป็นหนทางเดียวที่จะพัฒนาประเทศสู่ชาติมหาอำนาจ ชาติมหาอำนาจทั้งหลายล้วนหน้าด้าน ความหน้าด้านจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เมื่อใช้ควบคู่กับความใจดำอำมหิต และความหน้าด้านนี้เป็นคุณลักษณะพิเศษที่หุ่นยนต์หรือ AI ทำไม่ได้ ไม่ว่ายุคไหนๆ คนหน้าด้านก็จะประสบความสำเร็จ”

หลังจากเสร็จภารกิจการจัดทำหลักสูตรครั้งนั้น ผมกลับไปโรงเรียนก็ยื่นหนังสือลาออกจากราชการทันที บวช และธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร ไม่ยอมรับรู้เรื่องราวภายนอกอีกเลย