เรื่องสั้น | เป็นใครก็ไม่รู้

เป็นใครก็ไม่รู้ (1)

ดวงตะวันลอยเฉียงไปทางไหล่ซ้าย เกษมยืนหันหลังให้กับแหล่งกำเนิดแสงนั่น เงาของเขาทาบลงบนแผ่นป้ายเมทัลชีท คล้ายคราบเปื้อนบนแผ่นโลหะ ลูกชายคนเดียวของเขาวัยยี่สิบเจ็ดนั่งคุกเข่า เอาปูนกรอกลงในหลุมเสาอย่างระวัง

“พ่อถือให้ตรงสิ” ลูกชายบอก เมื่อเห็นว่าพ่อดันป้ายเอียงไปข้างหน้านิดหนึ่ง

“เร็วหน่อย อากาศร้อน” เขาเอี้ยวตัวไปมองดวงตะวัน ดอกเหงื่อซึมหน้า ยามบ่ายในหน้าหนาวค่อนข้างร้อน แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าหน้าแล้งมาก เพราะนั่นมันทั้งแห้ง ทั้งร้อนระอุ หัวแทบระเบิด

ดึ๊ง…ดึ๊ง…ดึ้ง…เสียงสมาร์ตโฟนของเขาดังอยู่เนืองๆ เป็นเสียงเตือนจากกลุ่มไลน์ เกษมไม่เปิดดู ส่วนใหญ่ข้อความที่ส่งมาเป็นข้อความสำเร็จรูป เช่น “สวัสดีวันพุธ สุขกายสบายใจ” “สวัสดีวันอังคาร พรใดประเสริฐ จงเกิดแก่ท่านและครอบครัว” ข้อความเหล่านี้มาพร้อมภาพดอกไม้ ภาพพระพุทธรูป หรือไม่ก็เป็นพวกคลิปข่าว ซึ่งยากต่อการพิสูจน์ว่าจริงหรือเท็จ หรือแม้กระทั่งภาพนิ่งหรือคลิปวาบหวิวก็มีเยอะ เขาไม่ได้ขุ่นเคืองหรือรำคาญคนที่ส่งมา แต่กลับสังเวชใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนในยุคสมัยนี้ คนเราไม่มีหัวคิดกันแล้วหรืออย่างไร เพียรส่งข้อความสำเร็จรูปซึ่งใช้ร่วมกันเป็นล้านๆ คนให้แก่กันได้ทุกวี่ทุกวันแบบนั้น จะหาข้อความที่แต่งขึ้นเอง อันแสดงให้เห็นถึงข้อแตกต่าง หรือเป็นข้อความโดยเฉพาะตนแทบไม่ได้เลย

ลูกชายของเขาก็ไม่แตกต่างจากคนอื่นนัก มักส่งต่อข้อความสำเร็จรูปอยู่ร่ำไป เคยเตือนลูกชายอยู่หนสองหน แต่เด็กมันกลับหัวเราะน้อย และพูดว่า “ใครๆ ก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละพ่อ” ส่วนภรรยาของเขาอาจน้อยกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ชอบส่งหรือแชร์ข้อความทำนองนั้นเหมือนกัน หากถามว่าเขาไม่เปิดข้อความในกลุ่มไลน์อ่าน จะไม่พลาดงานหรืออย่างไร ตอบว่าไม่ เพราะเกษมบอกกับลูกค้าเสมอว่า หากติดต่อเขาเพื่อสั่งทำงานป้าย ต้องโทรศัพท์ติดต่อพูดคุยฟังเสียงเท่านั้น จะไม่มีการสั่งผ่านข้อความใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความผิดพลาดทั้งปวง

“เสร็จแล้วครับพ่อ” ลูกชายยืดตัวขึ้นยืน ปัดหัวเข่าเอาดินทรายที่เลอะติดมาทิ้งไป

รถของเกษมจอดอยู่ตรงนั้น ในกระบะรถบรรทุกป้ายอีกแผ่น “ไปติดอีกเจ้า แล้วจะได้รีบกลับ หัวค่ำวันนี้พ่อมีประชุมที่วัด” เขาพูด ใบหน้าของเจ้าอาวาสกับผู้ใหญ่บ้านลอยเข้ามาในห้วงคิด

สิงห์คู่หน้าประตูวัดต้องแสงไฟแลดูทะมึนน่าเกรงขาม ยามปกติประตูวัดจะไม่เปิดไฟ ยกเว้นมีการนัดหมายสำคัญ ในทุกค่ำคืนถึงบริเวณวัดจะมืดมิดสักหน่อย แต่เจ้าอาวาสก็ไม่หวาดกลัวอะไร โจรผู้ร้ายไม่มี ประตูหน้าต่างอุโบสถไม่มีการถูกงัดแงะ กล่องเงินทำบุญก็ไม่ถูกขโมยดังหลายวัดในตำบลอื่นประสบกัน เกษมขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านประตูรั้วไปอย่างเร่งรีบ เขามาสาย เพราะงานติดตั้งป้ายแผ่นสุดท้ายเกิดปัญหาขึ้น กว่าจะแก้ไขเสร็จก็เสียเวลามากโข เขาพุ่งสายตาไปที่ศาลา ภายในนั้นไฟสว่าง รถยนต์กับมอเตอร์ไซค์หลายคันที่จอดนิ่งอยู่หน้าศาลาเห็นเป็นรางๆ แม้แต่คนก็เห็นทึมๆ อยู่ภายใต้แสงไฟศาลา ก่อนถึงศาลาเขาขี่รถผ่านกุฏิเจ้าอาวาส เห็นท่านก้าวออกมาจากกุฏิ ค่อยสบายใจหน่อย ไม่ได้สายอย่างที่วิตก แต่ถึงกระนั้นก็รีบจอดรถ ก้าวเข้าไปในศาลา เอ่ยปากทักทายคนที่มาก่อน

“สวัสดีครับ ท่านผู้ใหญ่” เขายกมือไหว้ผู้ใหญ่บ้านอายุแก่กว่าเขาเล็กน้อย จากนั้นยกมือไหว้มัคนายกวัยหกสิบห้า “สวัสดีครับ น้าสว่าง” เกษมกวาดสายตามอง กรรมการวัดคนอื่นมาครบแล้ว ดังนั้น เขาจึงเป็นคนสุดท้าย

ผู้ใหญ่บ้านกับมัคนายกรับไหว้ จากนั้นผู้ใหญ่บ้านเอ่ยขึ้นว่า “หลวงพ่อมาโน่นแล้ว พวกเรา”

ทุกคนยกมือไหว้เจ้าอาวาส อายุพรรษาไม่มากนัก และวัยก็ไม่ถึงหกสิบ “มากันครบแล้วใช่มั้ย” ท่านถาม วาจานุ่มนวลยิ่งนัก การประชุมเจ้าอาวาสอนุญาตให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนแถลงแจงเรื่องราวในขณะที่ประชุมกัน และเมื่อแจ้งข่าวจบแล้ว ก็มีการคัดคนกัน

“อยากขอความสมัครใจสักสามคนเพื่อจะเดินทางไปยังราชบุรี แต่สำหรับเกษมผมขอคนหนึ่งนะ ให้ไปด้วยกับคณะ เกษมเขามีหัวศิลปะ จะได้ช่วยจำ จะได้ไม่ตกหล่นในรายละเอียด หรืออาจเห็นอะไรดีๆ ได้มากกว่าเพื่อน ส่วนดาบฯ พิชัย เขาต้องไปด้วยอยู่แล้ว เพราะเขาต้องขับรถยนต์พาพวกเราไป และอย่างที่รู้นั่นแหละ ต้องขอบใจดาบฯ มากๆ งานนี้หากไม่ใช่ดาบฯ พิชัยแล้วละก็ พระพุทธรูปคงไม่ตกมาถึงบ้านเราหรอก” ตั้งแต่ประชุมมาผู้ใหญ่บ้านกล่าวชมนายดาบตำรวจพิชัยไม่ต่ำกว่าห้าครั้งแล้ว

“นั่นน่ะสิ ใจบุญจริงโยมพิชัยนี่ วัดเราเจริญขึ้นคราวนี้ก็เพราะโยมแท้ๆ ขอให้เจริญๆ นะโยมพิชัย” เจ้าอาวาสหันไปพูดกับคนสีกากี ท่านมานั่งฟังการประชุมและเป็นสักขีพยานมากกว่า จึงพูดแต่น้อยๆ จากนั้นหันไปพูดกับเกษมด้วยความสนิทสนม

“โยมเกษมก็คงไม่ขัดข้องนะ โยมผู้ใหญ่บ้านเขาเลือกถูกคนแล้วละงานนี้”

นายดาบตำรวจพิชัยยิ้มแต้รับคำชม ทว่าเกษมทำหน้าพะอืดพะอม อึดอัดใจ ขยับปากจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูด จนกระทั่งผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าเขาทำตัวไม่เป็นธรรมชาติ จึงกล่าวขึ้นว่า “มีอะไรจะพูดหรือ อ้าว พูดให้จบๆ ในที่นี่เลย”

“พูดได้เต็มที่ใช่มั้ย” คนทำป้ายถาม มองหน้าคนของมหาดไทยสลับหน้าคนในผ้าเหลือง

“อ้าว พูดมาซี” เจ้าอาวาสพูดขึ้นพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน แต่ต่างกันเพียงน้ำเสียงของภิกษุนุ่มนวลเสนาะโสตมากกว่าของคนของราชการ

“คืออย่างนี้นะ…” เกษมเริ่มต้น จากนั้นก็ร่ายยาว

สามทุ่มแสงไฟภายในบ้านยังไม่ปิด เขาใช้บ้านเป็นสถานที่ทำงาน ดังนั้น เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นภรรยานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ กำลังนั่งออกแบบป้ายไวนิลอยู่

“เป็นไงบ้างการประชุม” สุ้มเสียงของเธอปกติ ไม่นิ่มนวลเหมือนก่อนเลย หลายวันมานี้เขากับเธอขัดใจกันหลายเรื่อง ส่วนใหญ่ก็เรื่องการงานอาชีพนั่นแหละ

“น่าเบื่อ เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมรับฟังความเห็นของคนอื่น” เขาตั้งท่าบ่น ตั้งแต่ออกมาจากศาลาวัด พกความชอกช้ำใจติดตัวมาด้วยเต็มพิกัด

“มันยังไงกัน ประชุมเรื่องพระเรื่องศาสนา ทำไมต้องหมองใจด้วย พี่นี่น่าจะกิเลสหนานะ” เธอตำหนิ นึกชังน้ำหน้าสามี

“ใครจะไป…” เขาคิดจะตอบโต้เธอว่า ใครจะไปกิเลสบางอย่างเธอล่ะ แต่เขายับยั้งชั่งใจไว้ทัน ถึงจะไม่ลงรอยกันบ่อย แต่ก็ยังรักเธอไม่เสื่อมคลาย เข้าใจได้ว่าต่างคนต่างเหนื่อยจากการทำงานหนัก ดังนั้น ไม่พ้นหงุดหงิดใส่กัน เขาจึงเปลี่ยนคำพูดใหม่เป็นว่า “ใครจะไปอยากขัดแย้งล่ะ”

“แล้วยังไง ขัดแย้งอะไรกัน” เธอพูดโดยไม่ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ ส่วนมือก็ขยับเมาส์ไปมา

“ก็ดาบพิชัยนั่นซิ” เขาเริ่มต้น อ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ทรุดนั่งบนเก้าอี้ไม่ไกลจากภรรยา “เขาติดต่อให้ใครคนหนึ่ง เป็นเศรษฐีในกรุงเทพฯ เอาพระพุทธรูปมาถวายวัดเรา หน้าตักกว้างสามเมตร พร้อมทั้งศาลาหนึ่งหลัง ราคาหลายแสนทีเดียว”

“ก็ดีสิ” เธอกล่าวแทรก

“ดีอะไร พระพุทธรูปวัดเราก็มีหลายองค์แล้ว เอามาอีกก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร…”

ภรรยาของเขาสอดขึ้นมา “อ้าว เขาให้มาก็ดีแล้วนี่ ให้ทั้งพระทั้งศาลา อีกอย่างหนึ่งคนจะได้เข้าวัดกันเยอะๆ”

“ไม่อยากพูดเรื่องคนเข้าวัดเลย” เกษมถอนใจ “วันพระแต่ละครั้งก็เห็นแต่หัวเทาหัวหงอกเท่านั้นที่มากัน แถมไม่ถึงยี่สิบอีกต่างหาก แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ผู้ใหญ่บ้านเขาบังคับให้ฉันไปราชบุรีด้วยนี่สิ ฉันว่ามัน…”

“ราชบุรี ไปทำอะไรที่ราชบุรี” เธอถามแทรก เลิกคิ้วสงสัย ถอนสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองสามีผ่านเหนือกรอบแว่นสายตายาวสีเงิน

“คือว่าวัดแห่งหนึ่งที่นั่นจะมีการสมโภชพระพุทธรูป ซึ่งคนถวายเป็นคนคนเดียวกันกับที่ถวายให้วัดบ้านเรา เขาต้องการให้เราไปดูพิธีกรรมที่นั่น อยากให้นำมาใช้กับที่นี่ ทำให้เหมือนกับของวัดแห่งนั้นเลย”

“แล้วอะไรทำให้ต้องขัดแย้งกันล่ะ เรื่องมันไม่เห็นมีอะไรซับซ้อนเลยนี่”

“อ้าว ก็…ฉันไม่รู้ว่าจะบังคับกันทำไม ราชบุรีก็ทำอย่างราชบุรีไปซี เชียงใหม่เราก็ต้องปล่อยให้เราทำอย่างที่เราเป็นซี จะให้ทำพิธีกรรมเหมือนกันได้ไง”

“เขาเป็นคนถวายมาก็ต้องตามใจเขาสิพี่” เธอพยายามทำตัวอย่างคนเข้าใจโลกได้อย่างลึกซึ้ง และนึกรำคาญสามี

“มันจะไม่ให้เราทำตามแบบฉบับล้านนาของเราเลยเชียวหรือ จำเป็นที่ไหนกันเล่าที่ต้องทำเหมือนกัน เป็นใครก็ไม่รู้มากำหนดกฎเกณฑ์อย่างนี้ ฉันว่าไม่ถูกต้องเลยนะ”

“ทำตัวให้เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาบ้างซีพี่ คนอื่นเขาไม่มีปัญหาอะไร พิลึกอยู่นะพี่นี่” เธอรำคาญสามีหนักขึ้น ดังนั้น ใช้เสียงสูงพูดเพื่อต้องการสะกิดเตือนเขา แต่น้ำเสียงกลับกลายเป็นเสียดสี

แก้มของเขากระตุก เพราะอารมณ์ขุ่นเคืองแล่นมาเป็นริ้วๆ เขาเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเธอเลย แต่ครั้นไม่พูดความจริงให้หมดเปลือก มันคงทำให้เธอเข้าใจผิดกันไปใหญ่

“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะซี ผู้ใหญ่บ้านตอนแรกบอกว่าฉันเป็นคนทำงานศิลปะ มีประโยชน์ อยากให้ฉันเดินทางไปกับคณะด้วย แต่พอฉันพูดว่าลำบากใจ และไม่สะดวกในการเดินทาง แกเลยฉุนเฉียว และในตอนหลังมาว่าฉันว่า ที่แล้วมาได้เงินจากวัดไปเยอะจากการทำป้ายต่างๆ ดังนั้น ฉันต้องคืนตอบบ้างซี โดยให้ความร่วมมือช่วยเหลืออย่างดีกับการไปดูงานสมโภชพระที่ราชบุรี”

ภรรยาของเขานิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง และในขณะที่เธอเงียบงัน เกษมก็บ่นต่อ หวังให้เธอได้เห็นใจและคล้อยตาม “เป็นใครก็ไม่รู้ แหม…เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ถูกต้องเลย เฮ้อ”

“ฉันว่า ถ้าพี่ไม่ไปกับเขาครั้งนี้มีผลกระทบต่อเราแน่นอน ต่อไปทางวัดจะไม่มาจ้างทำป้ายกับเราอีก เผลอๆ นะ ผู้ใหญ่บ้านไปปั่นหัวให้ชาวบ้านหรือร้านค้าในหมู่บ้านเราหรือละแวกนี้ไม่ให้มาทำป้ายกับร้านเราด้วย ตายแล้ว อย่างนี้ฉันยอมไม่ได้หรอก”

“ผู้ใหญ่บ้านคงไม่กล้าทำอย่างนั้นหรอก ส่วนวัดนั้นฉันก็ยิ่งแน่ใจได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าวัดไม่จ้างจริง ก็ไม่เป็นไรนี่ เพราะปีหนึ่งๆ วัดก็ทำป้ายไม่มาก ไอ้ที่พูดว่าเราได้จากวัดมามากก็ผู้ใหญ่บ้านพูดโอเวอร์เท่านั้นเอง”

“ไม่รู้ละ ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มากระทบต่อร้านของเราเด็ดขาด” น้ำเสียงของเธอเข้ม เกษมฟังดูแล้วน่าวิตกยิ่ง

“แต่ฉันไม่อยากไปนี่ ฉันไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้…” เขาพยายามอธิบาย แต่ยังไม่ทันพูดจบ เกษมต้องหยุดกึก เพราะภรรยาแหวเข้าใส่ “โอย มันจะตายหรือไงพี่ ถ้าจะยอมเขาสักครั้ง แหม…ทำตัวขวางโลกขวางลำไปได้ ทำตัวปกติให้เหมือนชาวบ้านเขาไม่ได้หรือไง ผลประโยชน์ของเรานะ”

“เอ่อ…เอ่อ…อ่า…”

“ถ้าตายนะ ฉันจะจัดงานศพให้ใหญ่เลย เอาให้เขาลือไปอีกห้าปีสิบปีเลยว่างานศพเกษมคนมาร่วมงานมากมายขนาดไหน เฮ้อ…มีผัวทั้งคนก็ไม่เหมือนผัวชาวบ้านเขา เหนื่อยใจจริ๊ง”

เธอปั้นหน้าปั้นตาอย่างเย้ยหยัน