ย้อนกาลเวลา… ค้นหา “โหราศาสตร์”

โหราศาสตร์ หรือ โชยติษศาสตร์ เป็นศาสตร์แห่งความสว่าง ว่าด้วยแสงเรืองของดวงดาวบนฟากฟ้า ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาตั้งต้นด้วยคำถามที่ว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อโหราศาสตร์?

โดยธรรมชาติของศาสตร์ทุกศาสตร์ที่สามารถดำรงอยู่ได้มาจนปัจจุบัน ย่อมมีการพัฒนาการในท่ามกลางการเรียนรู้ ขัดเกลา เชื่อมโยง จนค่อยๆ บรรลุถึงความเป็นวิทยา หรือศาสตร์ หรือวิชา จนสืบสาน รักษา ถ่ายทอด สืบต่อมาจนปัจจุบัน

แสงเรืองรองของดวงดาวบนท้องฟ้า คือปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ดำเนินต่อเนื่อง เข้าใจว่ามีอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่มนุษย์บนโลกได้กำเนิดขึ้นภายใต้มหาวิถีของธรรมชาติหรือจักรวาล

จากจุดนี้เองในทัศนะของข้าพเจ้าเห็นความเชื่อมโยงของโหราศาสตร์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล

ย้อนรอยอารยธรรมไปเมื่อราวกว่า 5,000 ปีที่แล้ว คนโบราณพยายามสังเกตสิ่งต่างๆ และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เพราะมีความเชื่อว่าบนท้องฟ้ามีพระเจ้า

พระเจ้าทรงมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ คอยช่วยเหลือและดลบันดาลสิ่งที่เหนือธรรมชาติ

ในยุคนั้นความเชื่อเรื่องภูตผี ปีศาจ โชคลางของขลัง พระเจ้า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ การเกิดนิมิตเครื่องหมาย ล้วนแล้วถูกหลอมรวมเป็นความเชื่อจนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของผู้คนในห้วงเวลานั้น

พระเจ้าจะส่งสัญญาณให้มนุษย์เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ผ่านปรากฏการณ์บนท้องฟ้าหรือนิมิต

เช่น เมื่อมีดาวสีแดงโผล่ขึ้นมาจากด้านทิศตะวันออกและตกทางด้านทิศตะวันตก จะทำให้เกิดสงคราม

เมื่อวันเวลาผ่านไป ความเข้าใจในปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่เกิดขึ้น เมื่อดาวอังคารโคจรถึงจุดสูงสุดแล้วสีของดาวอังคารเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินบอกเป็นนัยว่า ในอีกไม่ช้าอาจจะมีบุคคลสำคัญถึงแก่ความตาย

ความจริงแล้วไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนว่า อารยธรรมแห่งลุ่มน้ำไนล์ของชนชาวอียิปต์กับอารยธรรมในดินแดนเมโสโปเตเมียแห่งลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส ดินแดนไหนเก่าแก่กว่ากัน “เมโสโปเตเมีย” (Mesopotamia) เป็นภาษากรีกโบราณ แปลว่าดินแดนระหว่างแม่น้ำ คือดินแดนระหว่างแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส เป็นดินแดนรูปครึ่งวงกลมผืนใหญ่ที่โค้งขึ้นไปจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนจรดอ่าวเปอร์เซีย

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย (ปัจจุบันคือประเทศอิรัก) พยายามค้นหาวิธีการเพื่อเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า โดยมีจุดประสงค์เพื่อการทำนายอนาคต

ในช่วงแรกเป็นการศึกษานิมิตบนท้องฟ้าเท่านั้น ยังไม่มีการใช้แผ่นดวงชะตาหรือแผนที่ดวงดาว (star map)

จากการศึกษาค้นคว้าพบหลักฐานที่เชื่อว่านักโหราศาสตร์เกิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนแห่งนี้

ชาวสุเมเรียน (Sumerians) เป็นชนชาติแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแถบนี้ เมื่อประมาณ 4,000-3,500 ปีก่อนคริสตกาล อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนเมโสโปเตเมีย

ส่วนใหญ่ทำอาชีพเลี้ยงแกะ ทำนา

มีการค้นพบข้อความเป็นอักษรลิ่มว่า ชาวสุเมเรียนสามารถมองเห็นกลุ่มดาวเป็นรูปต่างๆ เช่น นก ปลา แมลง แต่ละกลุ่มดาวเหล่านั้น เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้า

ชาวสุเมเรียนชอบเฝ้ามองปรากฏการณ์ต่างๆ บนท้องฟ้าและสังเกตการเชื่อมโยงวัฏจักรบนท้องฟ้าและวัฏจักรการเจริญเติบโตของต้นไม้

บนพื้นฐานการสังเกต ทำให้ชาวสุเมเรียนเริ่มมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า

ชาวสุเมเรียนเองนับถือเทพเจ้าที่สำคัญ 3 พระองค์คือ

เทพเจ้าชาแมส (Shamash) คือ เทพเจ้าดวงอาทิตย์ ผู้มีพลังงานอย่างมหาศาล ถ่ายเทพลังงานสู่โลกมนุษย์ ก่อให้เกิดสรรพสิ่งที่จะดำเนินชีวิตต่อไป

เทพเจ้าชิน (Sin) คือ เทพเจ้าดวงจันทร์ โคจรลักษณะเป็นรูปเรือเสี้ยว (crescent boat) มีอำนาจมาก ส่องสว่างบนท้องฟ้ายามราตรี

และเทพเจ้าอีสตาร์ (Ishtar) คือ เทพเจ้าดาวศุกร์ มีแสงสว่างประกายงดงาม ราวดั่งเป็นเทพเจ้าแห่งความงดงามและความอุดมสมบูรณ์

ในช่วงที่อารยธรรมของชาวบาบิโลเนียนเจริญรุ่งเรืองราว 2,800-500 ปีก่อนคริสตกาล นักโหราศาสตร์ได้พัฒนาความรู้ทำให้โหราศาสตร์โดดเด่นมากในช่วงเวลานั้น

เพราะความรู้ของชาวสุเมเรียนและพระชาวแคลเดียน ผู้มีความรู้ความสามารถในการกำหนดดวงดาวที่สำคัญ 7 ดวงคือ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสฯ ดาวเสาร์

แต่ละดวงจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ และถูกกำหนดให้เป็นตัวแทนของพระเจ้าต่างๆ

อีกทั้งยังกำหนดให้ดวงดาวเหล่านี้ ใช้แทนชื่อเรียกวันต่างๆ ในสัปดาห์

และสิ่งที่สำคัญที่สุด พระชาวแคลเดียน ได้ใช้ดวงดาวในการพยากรณ์ดวงชะตามนุษย์

เป็นการวางรากฐานด้านโหราศาสตร์มาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน

การนับถือดวงดาวเปรียบราวกับเทพเจ้านั้น ดวงดาวที่สว่างไสวบนท้องฟ้ามากที่สุด คือ ดวงอาทิตย์ ดาวจันทร์ และดาวศุกร์

พระอาทิตย์ (Sun) เปรียบราวดั่งเทพเจ้าที่เป็นแสงสว่างแห่งชีวิต ผู้ประทานชะตาชีวิต

พระจันทร์ (Moon) เทพเจ้าผู้มอบความเจริญให้ชีวิตเติบโตด้วยความงดงาม

ดาวศุกร์ (Venus) ผู้เป็นเทพีแห่งความงดงาม ตัวแทนแห่งความรัก เทพเจ้าทั้งสามจึงเปรียบเหมือนเป็นตัวแทนของครอบครัว อันแสดงความเป็นพ่อ แม่ และลูก

นอกจากนี้ มีเทพเจ้าอีกสี่องค์ที่แทนดวงดาว เช่น ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์

เทพเจ้าดวงดาวจะมีอำนาจสามารถดลบันดาลให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ที่มีผลต่อธรรมชาติ พืชผล ธัญญาหาร สัตว์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับชะตาชีวิตของมนุษย์บนโลก การประกอบอาชีพ สภาพทางการเมือง การปกครอง เป็นต้น

ดาวอังคาร (Mars) มีอิทธิพลที่เกี่ยวกับสงคราม การต่อสู้ การฆ่าฟัน และความตาย

ดาวพุธ (Mercury) ผู้ประทานอำนาจเกี่ยวกับความรู้ การสื่อสาร วิทยาการความรู้ต่างๆ

ดาวพฤหัสฯ (Jupiter) ผู้ประทานปรัชญา ศาสนา จารีตประเพณี กฎระเบียบ นักบุญ นักบวช

ส่วน ดาวเสาร์ (Saturn) ผู้ประทานบททดสอบที่แสนสาหัส ความยากลำบาก ความเหน็ดเหนื่อย ความอดทน และการเพาะปลูก

โหราศาสตร์ในยุคแรกนั้นเกิดขึ้นจากการเฝ้าสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้าและปรากฏการณ์ต่างๆ บนฟากฟ้า ในยุคนั้นนักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่จะเป็นนักบวชเป็นผู้ที่มีความรู้ เป็นนักปกครองผู้นำของชุมชน ถ่ายทอดภูมิปัญญาต่างๆ ให้กับประชาชน

มีการสร้างหอดูดาวขนาดใหญ่ชื่อ ซิกกูแรต (Ziggurats) ตั้งอยู่ในเมืองอุรัค และบาบิโลน มีความสูงเกือบ 300 ฟุต เพื่อศึกษาการโคจรของดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ โดยมีความเชื่อว่าการสร้างซิกกูแรตนี้ เป็นคำบัญชาจากพระเจ้าที่อยู่เบื้องบน

จากนั้นความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมและความรู้ต่างๆ ด้านดาราศาสตร์ ปรัชญา และศาสตร์อื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง ล้วนแล้วแต่ถูกนำไปพัฒนาองค์ความรู้โหราศาสตร์ในยุคต่างๆ เพื่อนำความรู้มาใช้ในการพยากรณ์ดวงชะตาชีวิต

ชาวบาบิโลเนียนนับถือดวงจันทร์ โดยมีความเชื่อว่า ดวงจันทร์เป็นเทพเจ้าที่โคจรไปบนท้องฟ้าในรูปร่างลักษณะโค้งคล้ายเรือ สามารถมองเห็นดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้อย่างใกล้ชิด ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม

นักโหราศาสตร์ชาวบาบิโลเนียน เฝ้าสังเกตดวงจันทร์ว่ามีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติอย่างไร เช่น เมื่อเกิดจันทรุปราคา (Lunar Eclipse) จะทำให้เกิดน้ำท่วม เป็นต้น

ดวงอาทิตย์ คือ เทพเจ้าผู้ดูแลฤดูกาล ชาวบาบิโลเนียนเฝ้าสังเกตดาวศุกร์ ที่โคจรใกล้ชิดกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จึงพยายามค้นหาความหมายของดาวศุกร์ เช่น ดาวศุกร์โคจรขึ้นก่อนดวงอาทิตย์ ดาวศุกร์จะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และรัศมีแห่งความเรืองรองมาสู่แผ่นดินอันสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีความเชื่อว่า การนับถือดาวศุกร์ เปรียบเสมือนนายหญิงแห่งท้องฟ้า (mistress of heaven)

วิถีของดวงดาวส่งอิทธิพลเชื่อมต่อกับพลังของดวงดาวและธรรมชาติ ดวงดาวส่องสว่างบนท้องฟ้า ยังเรืองแสงวาววับสดใส หรือแสงอันริบหรี่ของดวงดาว

การเห็นปรากฏการณ์ทั้งหมดของดวงดาวนี้ ไม่เพียงแค่งดงามยามค่ำคืน แต่เป็นความมหัศจรรย์ยิ่งนัก

นำพาเข้าสู่การพยากรณ์ดวงชะตา เพื่อเฝ้ามองวิถีแห่งชีวิตที่ค่อยๆ ดำเนินไปในแต่ละห้วงเวลา

ใครว่าดวงดาวไม่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ ลองมาศึกษากันให้กระจ่าง ถ่องแท้ ก่อนที่จะตอบว่า เชื่อหรือไม่เชื่อ

แต่การเชื่ออย่างงมงาย ปักใจเชื่อหรือไม่เชื่อเสียก่อนแล้ว เป็นการปิดกั้นพัฒนาการแห่งปัญญา

ข้าพเจ้าว่าคนรุ่นใหม่ ได้เริ่มเปิดใจกว้างต่อการศึกษาโหราศาสตร์กันมากขึ้น

การปลดปล่อยชีวิตเข้าสู่วิถีแห่งดวงดาวตาม “หลักวิชาแท้โหราศาสตร์” ไม่ปรารถนาอะไรให้มากเกินกว่า การมีชีวิตที่สอดคล้องกับจักรวาล ใน “วิถีแบบนักโหราศาสตร์”

เพื่อให้ชีวิตได้ดำเนินไปอย่างมีคุณภาพตามทางแห่งทำนองคลองธรรม