การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ แค่รอการโปรยปลิวไป

แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีจุดสีดำเล็กๆ เกิดขึ้นที่ขอบฟ้า ก่อนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกที ทุกที แล้วขยายใหญ่ เป็นใบหน้ามันปลาบจากการทาครีมกันแดดกันฝ้า หวาน…เดินเข้ามายืนห่างแค่ปลายมือ

ยื่นใบสีเขียวมาให้

“แล้วถ้าฉันขอซื้อจุลสารบ้างล่ะ”

ฉันเงยหน้า มีแสงแดดสาดมาจนเกือบตาพร่าไปชั่วครู่

“เล่มละห้าบาทใช่มั้ย ขอซื้อทุกเล่มได้หรือเปล่า”

“เธอจะอ่านทำไม”

อีกแล้ว…สีของตอเฟืองในทุ่งกว้าง ยามดึกดื่นที่พวกมันยืนเรียงสลอนตากน้ำค้าง กระจ่างขึ้นอีกในม่านตา

สลัดหัว กะพริบตา ใบหน้าของหวานโศกเศร้า ดูราวละม้ายใบหน้าของแม่ในบางครู่ยาม

“เธอถามฉันแบบนี้คนเดียวหรือเปล่า เธอถามคนอื่นด้วยมั้ย”

 

ลุกพรวดพราดขึ้น ทันทีที่รู้สึกเหมือนมีเข็มแทงนิ้วแปล๊บหนึ่ง มดดำตัวหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาจากไหนไม่รู้ได้ ต่อยเข้าให้ที่โคนนิ้วก้อย ฉันบี้ตัวมันแหลกลาญในทันที พลางสลัดทิ้ง ซากแมลงไร้ค่าเหลือเพียงก้อนสีดำแฉะๆ เล็กกว่าขี้ตา

หลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลืมขึ้นใหม่ ฉันเพียงแต่ฝันไป แต่ก็เป็นความฝันที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ในวันก่อนหน้า

หวานมา…ในเย็นย่ำวันหนึ่ง พูดจาเช่นนั้นกับฉัน ยื่นใบเขียวมาอย่างหมายมั่น และบอกกับฉันด้วยว่า

“ถ้าคนอื่นอ่านได้ ทำไมฉันจะอ่านไม่ได้ล่ะ”

มีอะไรสักอย่าง…สักอย่างหนึ่ง ที่จนแล้วจนรอด ฉันก็ยังนึกไม่ออก ว่าทำไมฉันจึงไม่กระตือรือร้นดีใจ หากหวานจะเป็นคนหนึ่งเหมือนใครต่อใคร

ที่จะเข้ามาสนิทชิดใกล้ ได้อ่านในสิ่งที่ฉันเขียน หรือบางทีหวานเองก็อาจจะได้ลองเขียน

ทำไม…

 

[เพียงบัว, สวัสดีตอนบ่าย

เรามีเรื่องอยากถามเธอสักอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าเธอจะพอช่วยตอบเราได้บ้างหรือไม่ เธอเคยมีความรู้สึกแปลกๆ กับใครสักคนบ้างไหม ไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ความชัง ไม่ใช่ความเฉย แต่เป็นความรู้สึกที่ตัวเราเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ

เรามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เรียกว่า ว. ก็แล้วกันนะ ว. เป็นเพื่อนที่ดีของเรามาก ดีกับเราหลายอย่าง แต่มีอะไรบางอย่างทำให้เรารู้สึกว่าต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอ

เราเจอ ว. ทุกวัน ทำงานด้วยกันตลอดวัน บางวันก็กินข้าวด้วยกัน บางวันก็ต้องร่วมงานกันเป็นคู่ แต่บางวันเราก็แทบไม่ได้พูดกันเลย…]

 

ฉันไม่ได้บอกเพียงบัวว่า อันที่จริงแล้ว หลังๆ มานี้ หวานเองก็มีทีท่าแปลกออกไป บางครั้งก็เหมือนหวานเองอยากเข้ามาใกล้ แต่หลายคราวก็ราวหวานเริ่มระวังบ้างเช่นกัน หากฉันไม่ทักก่อนหวานก็ไม่เอ่ยคำใด แต่เมื่อไหร่ที่ฉันมีปัญหาอะไรสักอย่าง จักรยานโซ่หลุด หนามตำมือ ลื่นล้มเกือบตกลำธาร หวานจะเป็นคนแรกที่เข้ามาหาก่อนใคร

ฉันอาจไม่รู้ว่า ควรจะเริ่มต้นเล่าเรื่องอย่างไร และที่แปลกไปกว่านั้น ฉันบอกเพียงบัวได้เกือบทุกอย่าง ยามที่รู้สึกแย่ รู้สึกเหงา รู้สึกเศร้า รู้สึกเหมือนโลกเป็นสีเทาเมื่ออยู่เพียงลำพังยามพลบค่ำ ฉันจะเขียนบอกความรู้สึกต่างๆ ลงในจดหมายไม่เคยปิดบัง

แต่ฉันกลับยังไม่เคยเล่าเรื่องความรู้สึกระหว่างตัวเองกับใคร ในกระดาษที่ใส่ซองส่งไปล้วนบรรจุไว้แต่เรื่องราวของความรู้สึกนึกคิด ตัวฉันกับสิ่งไร้ชีวิตทั้งหลาย ต้นไม้ ดอกหญ้า ภูเขา ท้องฟ้า อดีต ปัจจุบัน อนาคต ความฝัน ฯลฯ ทั้งหมดนั้น ไม่มีสักเหตุการณ์เดียวที่จะเล่าออกไป

ก็มีบางวัน…ที่ฉันอ่านจดหมายตัวเองทวนซ้ำ มันช่างเต็มไปด้วยถ้อยคำซ้ำๆ (น่าเบื่อไม่น้อย!) ของการรอคอย ความมุ่งมาดปรารถนา ฉันมักจะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ฉันอยากจะมีบ้านของตัวเองสักหลัง ฉันอยากจะมีอิสระเสรีพอที่จะทำอะไรต่อมิอะไรได้อีก ฉันอยากจะมีชีวิตเพื่อการอ่านการเขียน ส่วนการเรียนหนังสือนั้นฉันตัดใจแล้วว่าคงจะไม่มีโอกาส

อายุฉันมากขึ้นทุกวัน แต่การทำมาหากินก็ยังเพียงแต่ต้องดิ้นรนทนไป ได้เงินเป็นวีคก็ยังดีกว่าไม่ได้ แต่หักมาหักไป ความฝันที่จะเก็บเงินให้ได้ก้อนใหญ่ๆ ก็ยังดูไกลเหลือเกิน

จนวันนั้นเองล่ะ ที่หวานเดินออกมาจากเส้นขอบฟ้า ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้วยื่นใบสีเขียวให้ฉัน

 

[เพียงบัว,

เราอาจจะเขียนจดหมายไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่ เพราะว่าบางครั้งเราก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะอยากอ่านข้อความไร้สาระแบบนี้หรือไม่

ใช่, เราเป็นคนคิดมาก, คิดมากๆ เลยล่ะ

อืม…เราอยากจะถามเธอดูหน่อยว่า เธอเคยมีความรู้สึกแปลกๆ กับใครสักคนไหม ไม่รัก ไม่ชัง แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ ตัวเองรู้สึกยังไง คือเรามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ ว. ที่ได้เล่าไว้ เราเป็นเพื่อนร่วมงานกันในแปลงเพาะต้นกล้าใบยาสูบ แต่ก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เขาดีกับเรามาก

แต่เรา…เราไม่รู้ว่า เราดีกับเขาไหม]

 

[คนเดินทางคะ สวัสดีตอนยี่สิบสองนาฬิกา

เธอนี่แปลกจังเลยนะคะ ดูซับซ้อนจัง ก็ไม่รู้สินะ ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่จึงนึกไม่ออกเหมือนกัน ว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นยังไง

ฉันมีเพื่อนทางจดหมายอยู่หลายคน ก็แบบเดียวกับเธอ มีคนหนึ่งอยู่ที่ภูเก็ต เป็นคนที่เรารักเขามากๆ แต่ก็ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลย นานๆ สักครั้งก็จะโทรศัพท์ไปหาเขา ใจเต้นตึกตักเชียวล่ะ แต่บางทีก่อนที่เขาจะมารับ ฉันก็วางสายเองเสียก่อน

อีกคนที่รู้สึกว่ารักพอๆ กับเธอ อยู่ที่อุดรธานี เป็นคนที่น่ารักและตลกม้ากมาก เขียนจดหมายยาวได้เป็นสิบๆ หน้า ชื่อว่าแก้วตา นิสัยใจคอคล้ายๆ กับพวกเรานี่ล่ะ รักความยุติธรรม ไม่ชอบสังคมที่เอารัดเอาเปรียบกัน มีความฝันว่าอยากจะให้ประเทศของเรามีความเท่าเทียมกันในทุกด้าน ที่ยิ่งใหญ่มากคือการเป็นคนเท่าๆ กัน ไม่มีชนชั้นนายทุน…

หึหึ ฉันก็ฝันไปอย่างนั้นเองแหละ…]

 

[เพียงบัว, คนดีของฉัน

จดหมายของเธอทำให้เรารู้สึกดีมากๆ อีกแล้วล่ะ เราเข้าใจทุกอย่างที่เธอพูดมา เราอยู่บ้านป่าบ้านดอยอย่างนี้ บวกกับประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ยิ่งเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เราก็เกลียดเหลือเกินสิ่งที่พวกคนเห็นแก่ตัวทำต่อกัน

แต่เราอยากจะเล่าถึงเพื่อนคนนั้นอีกสักหน่อย…เราถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าตกลงเรารู้สึกยังไงกัน เราแค่ไม่สบายใจที่จะให้เขาเข้ามาใกล้เรามากกว่านี้ หรือเพราะบางที…เราก็ไม่อยากให้เขาจากไปไหน เพียงบัวรู้อะไรมั้ย ทุกๆ คนที่เข้ามาใกล้เรา ถ้า…ถ้าเราไม่ทำร้ายกันเอง ก็จะต้องพลัดพรากจากกันไป…อยู่ที่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายเท่านั้นเอง]

มีกลิ่นหอมของดอกไม้ล่องลอยมาในยามดึก ละมือจากปากกา ฉันเงยหน้ามองผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดกว้างเอาไว้ ดวงดาวมากมายยังกะพริบวิบวับเต็มท้องฟ้า ทว่า เหมือนกลิ่นสาบคาวอื่นๆ ยังคงแทรกหวนมา

ฉันก็อยากนะ อยากจะเขียนแต่บทกวีสวยๆ อยากมีแต่เรื่องเล่าดีๆ ไปในจดหมาย ไม่อยากมีความสงสัยในความรู้สึกตัวเองหรือของใคร มีอะไรอีกนับร้อยพันอย่างที่ “อยาก” ให้เป็นดังใจฝัน แต่ก็พอๆ กันกับ “ไม่อยาก” ได้อะไรอีก

บางที ฉันก็แค่อยากมีชีวิตเงียบๆ โดยลำพัง อยากล้มตัวลงนอนหลับใหล ไม่ต้องคิดถึงใคร ไม่ต้องฝันถึงผู้ใดทั้งสิ้น ไม่ต้องตื่นเพื่อจะหลับและกลับฝัน ไม่ต้องพบทั้งดวงตะวัน ดวงจันทร์ ดวงดาวห่าเหวอะไรสักอย่าง ไม่อยากกระทั่งพบความแหลมหวานซ่านเสียว ซึ่งครู่เดียวที่สร่างสิ้น

ฉันคือใคร ฉันมาทำอะไรบนโลกใบนี้ ชีวิตคนเราอยู่เพื่ออะไร ในวังวนของการต้องใช้ชีวิตไปในแต่ละเดือนละปี จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันสู่คืน ตกกลางคืนก็ต้องหลับ ครั้นเช้าใหม่ก็ได้เวลาตื่น คนเราเกิดมาเพื่ออะไร

พ่อบอกว่า รสพระธรรมนั้นหวานสุดจับใจ การนิพพานหมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดอีก นั่นคือสิ่งที่เป็นยอดปรารถนาของพระผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย การเกิดเป็นทุกข์ นั่นอย่างไรความหมายของคำว่าชีวิตที่แท้จริง แต่แม่ก็เพียงทำเสียงเรียบๆ ว่า แล้วสึกมาทำไม พ่อว่าก็อยากได้ลูกเมียดีๆ อย่างนี้อย่างไรเล่า แม่ตอบอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราวเหยียดหยัน

“อ้อ พวกฉันดีพอแล้วนี่เอง”

ฉันควรโกรธแม่อีกมั้ย? คำว่า “พวกฉัน” มันรวมฉันเข้าไปด้วยใช่มั้ย แม่พูดประชดประชันแบบนั้น เพราะฉันไม่ใช่คนที่ดีพอสักหน่อย?

อยู่ดีๆ ฉันก็มีคำถามมาอีกมากมาย ฉันควรจะเขียนอธิบายสิ่งที่ตกค้างในอกตัวเองอย่างไร ความคิด…หรือฉันมีแต่ความคิดมากเกินไป โลกก็เป็นของมันอย่างนี้ ทุกๆ คนก็อยู่กันอย่างนี้ แต่ฉันสิ ฉันคิดมากเกินไป

และทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่ไร้สาระใช่ไหม

 

[เพียงบัว, มิตรที่น่ารักของฉัน

เธอไม่ต้องตอบเราแล้วก็ได้ สิ่งที่เราถามเธอไป เกี่ยวกับเพื่อนชื่อ ว. คนนั้น เรารู้แล้วว่ามันไร้สาระนะแหละ…ช่างมันเถอะนะ

อีกไม่นาน เราก็จะอายุสิบหกปีแล้วนะ เธอก็มีอายุเท่ากับเราใช่ไหม รู้สึกอย่างเดียวกันหรือเปล่าว่า เราใช้ชีวิตมานานจังเลย 1 ปีมี 365 วัน เราอยู่มากันแล้ว 5,000 กว่าวัน วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ก็เป็นเวลาตั้งแสนกว่าชั่วโมง (เราคิดเลขถูกหรือเปล่า) ชั่วโมงหนึ่งมี 60 นาที ถ้าคูณกันอีกมันคงเป็นตัวเลขเยอะแยะมากมาย

เราอยู่กันไปเพื่ออะไรหนอ อยู่ไปอีกเป็นล้านๆๆๆๆ นาที ถ้าหากเรามีอายุสัก 54 ปี เท่ากับพ่อของเราตอนนี้ เราจะต้องใช้เวลาอยู่บนโลกไปถึง 28 ล้านกว่านาที (ฉันน่าจะคิดถูกนะ!) มันเป็นตัวเลขที่เยอะมหาศาลมากจริงๆ คิดดูสิว่า จะต้องอดทนแค่ไหนหากต้องไปจนถึงวันนั้น

เธอมีเคล็ดลับอะไรบ้างมั้ย ที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ง่ายขึ้น ไม่ต้องจดจ่อรอเวลานาที แต่ก็เพราะว่า ถ้าเราไม่คิดจะรอมัน สุดท้าย มันก็ตลบหลังเราทุกที เราเคยเล่าให้เพียงบัวฟังบ้างหรือยัง หากเราตั้งใจรออะไร สุดท้ายไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง ส่วนอะไรที่มุ่งหวัง ก็ต้องผิดหวังทุกที

เพียงบัว, ในจดหมายฉบับนี้เราจึงไม่มีอะไรมาฝากเธออีก นอกจากบทกวีของเรา เธอจะเรียกมันว่าบทกวีของคนเศร้าก็ได้นะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะนิยามตัวเองว่าอะไรได้อีก…]

เราคือคนเศร้า เราคือผู้พเนจร

เราแค่กำลังเร่ร่อนอยู่บนดวงดาวที่แปลกหน้า?

เราอยากจะกลับไปในที่ที่เราจากมา

แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน

เราคือนักเดินทาง

มาเพื่อจะพลัดพรากจากไป

เราคือฝุ่นละอองของใบไม้

แค่รอการโปรยปลิวไปในสายลมสายฝน