การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ปรากฏจนดูบาดร้าวในตาคู่นั้นอีก

[ถึงคนเดินทาง …ที่รัก

ตอบจดหมายช้าอีกแล้ว ช้าไปตั้งอาทิตย์หนึ่งหรือกว่านี้ใช่ไหม

ขอโทษนะ ที่บ้านมันยุ่ง มีปัญหาหยั่งกะเพลง “บาปบริสุทธิ์” ยังไงยังงั้นเชียวล่ะ ฮ่าๆ (หัวเราะฝืดๆ)

ค่าจุลสารรวมทั้งหมด 23 บาทใช่ไหม รวมค่าส่งด้วย ส่งเป็นทั้งเงินและแสตมป์มาให้…ครบหรือเกินคงไม่ว่ากันนะ

เออ! จะสมัครเป็นสมาชิก มีเงื่อนไขยังไงมั่ง บอกด้วย ฉันสนใจ

ฉันดีใจนะคะ ที่เธอทำมันออกมาแล้ว เก่งมากด้วย แป๊บเดียวก็ทำออกมาได้ตั้งหลายเล่ม

พูดถึงจุลสาร บอกตรงๆ เลยว่า “เพื่อน” ของเธอมีอะไรๆ กว่าที่ฉันทำกับเพื่อนอีกกลุ่มด้วยซ้ำ อย่างรูปเล่มดูดี เหมาะสม ฝ่ายศิลป์ก็เก่ง ทำอาร์ตเวิร์กสวยดี แล้วภายในเล่มก็มีอะไรหลากหลายกว่าด้วย ไม่ใช่มีแค่กลอนกวี (ครึ่งเล่ม) แซวกันในกลุ่ม แบบทดสอบ แค่เนี้ย…มันว่างเปล่าเกินไปนะ รู้สึกน่ะ

สำหรับข้อมูลงานวรรณกรรมต่างๆ OK เลย ฉันจะช่วยหาให้เธอด้วย ตกลงนะคะ

วันที่ 27 หน้านี้ กลุ่มจะมีประชุม ฉันจะลงไปประชุมด้วย แล้วจะเล่าความเคลื่อนไหวให้ฟังนะคะ…]

 

[เพียงบัว,

ขอบคุณมากที่สุดสำหรับกำลังใจ เธอช่างมีแต่ถ้อยคำดีๆ สำหรับเราเสมอเลย ขอบคุณอีกครั้งนะ

เราเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า ในที่สุดเราจะทำ “จุลสาร” ออกมาได้ มันไม่ง่ายในหลายๆ อย่าง แต่เราก็หวังแค่ว่า มันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

เพียงแต่…ดีสำหรับอะไร ตอนนี้เราก็ยังไม่รู้หรอก แค่ว่าอยากจะทำมัน มีความสุขที่ได้ทำมัน

เราส่งมาให้เธออีกนะ ดูเหมือนจะมีหลายฉบับ เพราะยังไม่ได้จัดรอบเวลาจริงๆ หรอก เป็นการทำในยามว่าง พอมีเวลาก็อยากจะทำตุนไว้ ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะเขียนไปที่วัยหวาน ขอให้พี่ทยานิจช่วยลงประกาศรับสมัครสมาชิกให้เหมือนกัน มันจะดีไม่น้อยถ้ามีใครๆ มาเป็นสมาชิก รับจุลสารของเราไปอ่าน

สำหรับตอนนี้ เราจะทำบัตรสมาชิกให้เธอก่อนใครนะ หมายเลข 001 เธอคือสมาชิกคนแรกของจุลสารเรา และถ้าหากเธอจะใจดีกับเรามากกว่านี้ ก็ส่งบทกวีมาให้เราลงในจุลสารบ้าง…]

 

[เพียงบัว,

ได้รับจดหมายของเราไหมคะ เธอหายเงียบไป มีอะไรหรือเปล่า?

หรือว่าเราเขียนอะไรที่ไม่ถูกใจเธอไหม…]

[คนเดินทางคะ

ฉันไม่ได้แก้ตัวนะ กับสิ่งที่จะบอกกับเธอน่ะ ฉันตอบจดหมายเธอทุกฉบับเลย แต่ฉันไม่ได้ส่ง ตอนนี้ก็ยังอยู่ คือฉันเขียนไปตามอารมณ์น่ะ มันเบลอด้วย เพราะฉันเมากาแฟเป็นปกติดีนักเธอเอ๋ย

พอมาอ่านตอนหายเมา…มันก็ยังไงล่ะ คือแบบฉันเองยังไม่เชื่อเลยว่า โห! เนี่ยเหรอ สำนวนเขียนจดหมายฉัน คือมัน “เว่อร์” มากเลยล่ะ ก็เลยไม่ส่ง นี้ล่ะสาเหตุอันแท้จริง

เอ๋! แล้วเธอจะว่าฉันแก่ตัวหรือเปล่าเนี่ย?

ฉันชอบจุลสาร “เพื่อน” ของเธอมากนะคะ มีอีกกี่เล่ม ส่งมาให้ฉันหมดเลยได้หรือเปล่า กี่ฉบับแล้วคะ จะรับหมดเลย ฉบับละ 5 บาทเหรอ เอาเป็นสแตมป์ได้หรือเปล่า ฉันขี้เกียจไปไปรษณีย์ที่สุดเลย]

 

[เพียงบัว,

ขอบคุณสำหรับจดหมายตอบนะคะ โล่งใจไปที ที่เธอยังอยู่กับเรา

ตอนนี้เราทำได้ประมาณ 5 ฉบับแล้ว ราคาขายตั้งจากค่าถ่ายเอกสาร จริงๆ แล้วเราควรจะได้กำไรสักเล่มละ 2 บาท แต่ตอนนี้ก็ยังอยากทำให้จำนวนหน้ามากๆ หน่อย เพราะสิ่งที่เราอยากเขียนลงไปมีมากมายเหลือเกิน

เราขอบคุณที่เธอชอบผลงานของเรา ลายมือเราคงไม่สวยเหมือนลายมือของเธอ หรือของคนอื่นๆ ที่เขียนไปลงนิตยสารกัน แต่มันก็คือลายมือของเรา ทำได้เท่านี้ เพราะเราไม่มีอุปกรณ์อะไรมาก…]

 

ฉันไม่ได้บอกเพียงบัวอีกเช่นกันว่า การจะทำจุลสารเกี่ยวกับการเขียนอ่านสักเล่ม…สำหรับฉัน จริงๆ แล้วมันไม่ง่ายเลย

เริ่มตั้งแต่ว่า ฉันยังมีค่าแรงเพียงวันละสิบกว่าบาท และเมื่อเงินออกในแต่ละสัปดาห์ จะเอาส่วนมากให้แม่ไป ฉันสำนึกเสมอว่าตัวเองอยู่อาศัยในบ้านของคนอื่น ต่อให้เป็นพ่อเป็นแม่ ก็ตั้งใจว่าจะไม่กินไม่ใช้ของใครฟรีๆ ทุกอย่างมีต้นทุนของมัน ฉันเรียนรู้มาจากชีวิตของตัวฉันเอง ดังนั้น ฉันจึงไม่ควรจะเอาเปรียบใคร ในสักวันหนึ่ง หากฉันมีอิสระ จะได้พูดเต็มปากในสิทธิของฉัน

ที่เคยเจ็บปวดมาหลายครั้งคราว เพราะคนเราไม่เคยคำนึงของสิทธิใคร ช่วงชิงและทำร้ายกันได้อย่างเลือดเย็นปานนั้น

ฉันจึงไม่ได้เล่าให้เพียงบัวฟังด้วยว่า ฉันน่ะจนเงินแค่ไหน กระดาษที่ใช้มาทำอาร์ตเวิร์กจุลสาร (อาร์ตเวิร์ก – มันคงเป็นคำภาษาอังกฤษ ฉันรู้จักมันจากเพียงบัวนั่นล่ะ) ฉันไปขอแบ่งซื้อของหลวงน้าที่วัด เพราะที่นั่นจะมีกระดาษเปล่าเป็นรีม พ่อเคยเล่าไว้ แต่โชคดีไปที่หลวงน้ากลับมีน้ำใจ แบ่งให้ฉันมาถึง 20 กว่าแผ่น ได้มาไว้ใช้อย่างทะนุถนอม

กาวติดกระดาษนั้น ตอนแรกฉันไปเสาะหาลูกต้นบะหมัน แต่ก็ไม่มีต้นอยู่ที่เก่าอีกแล้ว ฉันกลับมาหาทางเคี่ยวแป้งมันทำกาวเปียก แต่กลับทำให้กระดาษและหมึกปากกาซึมเลอะเทอะมากมาย พ่อบอกว่า มีกาวแบบขวดใช้ดีที่สุด เรียกว่ากาวลาเท็กซ์ แต่ขวดหนึ่งหลายบาทอยู่ ฉันไม่มีเงินพอจะลงทุนได้ สุดท้าย ทางออกเรียบง่ายที่สุดกลับเป็นการใช้ “ข้าวเหนียวนึ่ง” บี้ๆ ติดเข้าไป

เวลาไปถ่ายเอกสารที่ตัวอำเภอ ฉันก็จะต้องปั่นรถถีบไปเอง ด้วยจักรยานสีแดงที่โซ่มักหลุดตลอดเวลา และเวลาจะไปได้คือช่วงพักเที่ยงกินข้าว โดยต้องรีบกลับมาเข้างานตอนบ่ายโมง

ตัวอำเภออยู่ห่างจากที่ทำงานประมาณ 8-9 กิโลเมตรได้ รวมระยะทางไปกลับไม่ต่ำกว่า 16 กิโลเมตร แต่ฉันก็มุ่งมั่นจะไป แม้เป็นช่วงที่แดดยังแสบไหม้ที่สุดก็ตาม

 

กระดาษต้นฉบับ และจุลสารที่ทำสำเร็จวางอยู่บนโต๊ะลังกระดาษของฉัน…อีกครั้งและอีกครั้ง ที่เฝ้าจ้องมองมันอย่างอดประหลาดใจไม่ได้

ตัวหนังสือของฉันไม่สวยหรอก แต่มันก็ออกมาดูดี แรกๆ ฉันลองขีดดินสอทำเส้นบรรทัดก่อน แต่แล้วต้องมาเสียเวลาลบออก ภายหลังจึงตัดสินใจเขียนลงไปเลย…เป็นไงเป็นกัน และพบว่า ฉันเขียนมันตรงแนวขึ้นเรื่อยๆ

มีนิตยสารเก่าอยู่หลายฉบับในบ้าน ส่วนหนึ่งจากที่เพียงบัวส่งมาให้ (“เธอเอาไว้ตัดรูปใช้นะคะ”) อีกส่วนคือที่มากับ “แผงเรียงเบอร์” ซึ่งแม่ซื้อจากตลาด ฉันเลือกเอาบางภาพที่ชอบ ฉีกมัน กรีดมัน บางหน้าใช้กรรไกรค่อยๆ เลาะตัด บรรจงเอามาติดแทรกเป็นภาพประกอบ บางหน้าก็พยายามลอกลายเส้นวาดลงไปเอง

ฉันเจียดเงินไปซื้อปากกาหมึกซึมมาไว้อีกด้าม และด้วยความเพียรกับความบ้า ฉันก็ได้จุลสารมาหลายเล่ม ทุกๆ เล่ม ลงนามปากกาตัวเองเป็นบรรณาธิการ ทั้งๆ ที่ทุกหน้าก็เขียนผลงานทั้งหมดเอง

 

“เธอทำอะไรน่ะ”

หวานขึ้นเรือนมาวันหนึ่ง มองดูข้าวของที่เกลื่อนกลาดอยู่บนเติ๋น ขณะที่ฉันกำลังพยายามจะกดบี้ข้าวเหนียวให้กลายเป็นกาวจำเป็น

“ทำจุลสาร”

“จุลสารคืออะไร”

ฉันเงยหน้าขึ้น ไม่แปลกใจกับคำถาม หากก็คร้านจะอธิบายมากไปกว่านั้น

“หมายถึงหนังสือเล่มเล็กน่ะ” ตอบเพื่อนไป

“ไหน ดูซิ”

หวานลงนั่ง แล้วคว้าต้นฉบับที่กำลังทำไปดู

“ระวัง!” ฉันรีบบอก หวานหน้าเจื่อน วางของลงทันที

“ฉันยังไม่ได้ทำอะไร…”

“ไม่ใช่อะไรหรอก เพิ่งติดกาวไป เดี๋ยวมันจะหลุด”

หวานค่อยมีสีหน้าดีขึ้น

“ไหนกาว…อะไร ข้าวนึ่งนี่?”

“อือ”

หวานมองดูสิ่งที่ติดปะกันเป็นแผ่นๆ กับเศษกระดาษกระจัดกระจาย แล้วมองหน้าฉันอย่างไม่เข้าใจ

“มันจะติดอยู่เหรอ ไม่ใช้กาวลาเท็กซ์ล่ะ”

ฉันเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้าง หวานก็รู้จักกาวขวดเหมือนกันหรือ

“ไม่มีเงินซื้อ” ตอบออกไป

“อ้าว เธอก็ได้เงินทุกวีก”

“ให้แม่หมดแหละ”

หวานนิ่งเงียบไป ครู่หนึ่งก็ยุกยิก ล้วงกระเป๋าเสื้อตัวเอง มีใบเขียวติดมือออกมาถึงสองใบ

“ฉันให้เธอ”

 

ฉันมองหน้าเพื่อนร่วมงานด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย สายตาของหวานยังคงสัตย์ซื่อ ปราศจากสิ่งแอบแฝงใด หากจะมีอะไรซื่อตรงเช่นเดียวกับการขึ้นและตกของดวงตะวัน หวานก็เป็นเช่นนั้น แต่ฉันก็ยังเลือกจะปัดมือหวานออกไป

“ไม่เอา จะให้ฉันทำไม!”

“อยากให้…จะได้ช่วยเธอทำจุลสาร”

มีความแปลบใจขึ้นมาวูบหนึ่ง กับคำพูดประโยคหนึ่ง จากคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า “จุลสาร” คืออะไร และหวานไม่ใช่นักอ่านนักเขียน ชีวิตประจำวันอยู่กับการทำมาหากิน สิ่งที่จะดึงดูดหวานได้ไม่เคยใช่หนังสือเป็นกองๆ บางครั้งหวานเองยังอาจมองว่าฉันเป็นคนแปลกๆ เช่นกัน

นอกจากเพียงบัวที่เป็นสมาชิกคนแรก ก็มีหวานเป็นคนที่สองที่มองเห็นความตั้งใจของฉัน?

“จะช่วยฉันทำไม!”

แต่ใจยังไม่อยากรับอะไรจากใครอื่นอีก

“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเธอว่าดี มันคงดีจริงๆ สิ่งที่เธอทำน่ะ…”

หวานตอบออกมา

“นะ ให้ฉันได้ช่วยเธอบ้าง เธอก็ช่วยฉันมาไม่น้อย”

“ฉันช่วยอะไรเธอ?”

“เธอเคย…” หวานพูดโดยไม่มองหน้า “ถึงจะไม่รู้ตัวก็เถอะ”

ฉันไม่ชอบบรรยากาศเช่นนั้นเอาเสียเลย และกลับไม่เคยตั้งข้อสงสัยว่าทำไมไม่ชอบ ฉันห่วงเด็กผมขอด นอนกับพี่โสม เคยหลงใหลในตัวจอมฝัน ผูกพันกับเพียงบัว แต่กลับไม่นึกอยากให้หวานเข้ามาใกล้…ไม่อยากเลยจริงๆ

และก็นั่นแหละ อีกสิ่งที่ฉันทำ สิ่งที่ไม่เคยนำไปบอกเล่าให้มิตรทางจดหมายฟัง เพียงบัวยังไม่เคยได้รู้จักฝุ่นมัวในตัวฉัน ปีศาจที่ปัดมือหวานอย่างแรงอีกที แล้วพูดออกไปว่า

“อย่ามายุ่งกับฉันดีกว่า จะได้ไม่ต้องเป็นบุญคุณกันไปอีก ขอบคุณที่หวังดี แต่พอดีไม่ต้องการ”

จึงเช่นเคย ที่สีของตอเฟืองหักฟ่ามท่ามน้ำค้างเยียบหนาว ปรากฏจนดูบาดร้าวในตาคู่นั้นอีก