100 วันแรก ของประธานาธิบดีชื่อ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เปิดเผยแผนสำหรับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 100 วันแรก เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงแนวทางที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผู้อพยพ ข้อตกลงการค้าและนโยบายด้านกลาโหม

ทรัมป์ให้สัญญาว่าจะถอนตัวจากการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือทีพีพี

ยกเลิกข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่บังคับใช้ในสมัยของประธานาธิบดี บารัค โอบามา

ขอให้ทีมงานฝ่ายความมั่นคงเสริมสร้างความเข้มแข็งเพื่อรับมือต่อการถูกโจมตีสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐาน

ให้กระทรวงแรงงานตรวจสอบวีซ่าคนงานของรัฐบาลกลาง

และกำหนดข้อห้ามใหม่ไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐทำงานด้านการล็อบบี้

นโยบาย 6 เรื่องที่ทรัมป์เปิดเผยครั้งนี้เป็นเรื่องที่นำไปปฏิบัติได้ง่ายมากในวอชิงตัน เนื่องจากสามารถบังคับใช้ได้ทันทีเพียงแค่ทรัมป์เซ็นชื่อลงไปและไม่ต้องผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส

000_hz7b1

แต่ทรัมป์ยังคงละไว้เรื่องคำมั่นสัญญาในการหาเสียงที่เป็นประเด็นใหญ่หลายๆ เรื่อง ซึ่งรวมถึงการประกาศว่าจะสร้างกำแพงกั้นยาวตลอดแนวชายแดนสหรัฐอเมริกาติดกับเม็กซิโก จัดตั้งกองกำลังเพื่อการเนรเทศผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย กำหนดข้อห้ามใหม่ในการเข้าเมืองจากประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามบางแห่ง เพิกถอนรัฐบัญญัติประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือกฎหมาย “โอบามาแคร์” และลงทุนในสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งหมดที่ทรัมป์หาเสียงไว้ไม่เหมือนกับนโยบายข้างต้น โดยมาตรการเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส

และเห็นได้ชัดว่าต้องทำงานหนักมากขึ้นอีกในการปรับเปลี่ยนขัดเกลาในรายละเอียดของนโยบายต่างๆ

ทั้งเวลาและความรวดเร็วมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญจากการที่ประธานาธิบดีคนใหม่ตั้งเป้าที่จะได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปีแรกที่เข้ารับตำแหน่ง

ซึ่งมีโอกาสอยู่ไม่น้อยจากการที่พรรคครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภารวมถึงทำเนียบขาว เรียกได้ว่าสถานการณ์ดีกว่าสมัยของโอบามาเมื่อ 8 ปีที่แล้วมาก

donald-trump1-e1437406442556-759x500

อย่างไรก็ตาม แม้รีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ยังอาจประสบความยากลำบากในวุฒิสภาได้ จากการที่เดโมแครตจะมี 48 ที่นั่งในปีหน้า น้อยกว่ารีพับลิกันที่มี 51 ที่นั่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่หมายถึงเดโมแครตยังมีเสียงมากเพียงพอที่จะสกัดกั้นมาตรการบางอย่างของทรัมป์ได้

ทรัมป์ระบุว่ามาตรการของเขามุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่คนงานชาวอเมริกันโดยเฉพาะ

“ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเหล็ก สร้างรถยนต์ หรือรักษาโรค ผมต้องการให้ผลผลิตและนวัตกรรมของเจเนอเรชั่นต่อไปเกิดขึ้นที่นี่ ในมาตุภูมิที่ยิ่งใหญ่ของเรา อเมริกาเป็นที่สร้างความมั่งคั่งและสร้างงานเพื่อคนงานชาวอเมริกัน” ทรัมป์กล่าวไว้ในวิดีโอความยาว 2 นาทีครึ่ง

และว่า “ในส่วนหนึ่งของแผนการนี้ ผมได้ขอให้ทีมรับช่วงต่ออำนาจ คิดถึงคำสั่งทางด้านบริหารที่เราสามารถทำได้เลยในวันแรกเพื่อฟื้นกฎหมายและนำตำแหน่งงานกลับคืนมา”

 

หนึ่งในเรื่องแรกๆ ที่ประธานาธิบดีคนใหม่จากพรรครีพับลิกันบอกว่าจะทำคือ การแจ้งถึงความความตั้งใจที่จะถอนตัวจากทีพีพี และแทนที่ด้วยการเจรจา “ข้อตกลงการค้าทวิภาคที่เป็นธรรม”

ทรัมป์หาเสียงด้วยการให้สัญญาว่าจะยุติการเจรจาทีพีพี ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา หวังว่าจะเป็นหนึ่งในมรดกตกทอดด้านนโยบายของเขา

หนึ่งในปฏิกิริยาแรกๆ จากต่างประเทศต่อเรื่องนี้มาจากนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น ที่ระบุว่า “ทีพีพีที่ไม่มีสหรัฐนั้นไร้ความหมาย”

อาเบะกล่าวระหว่างการแถลงข่าวในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) ที่เปรูวันเดียวกันว่า “การเจรจาใหม่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากทีพีพีที่ไม่มีสหรัฐอเมริกาจะทำให้ผลประโยชน์ไม่สมดุล”

ขณะที่ในเรื่องผู้อพยพ ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะ “สอบสวนการกระทำผิดในโครงการออกวีซ่าที่ตัดลดโอกาสของคนงานชาวอเมริกัน” แต่ไม่ได้กล่าวถึงคำมั่นสัญญาที่เป็นนโยบายหลักสำคัญในการหาเสียงของเขาที่จะสร้างกำแพงกั้นตลอดแนวชายแดนเม็กซิโก

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้แสดงออกถึงการประนีประนอมในนโยบายบางอย่างที่เคยประกาศไว้ อาทิ ในการให้สัมภาษณ์กับรายการ 60 มินิตส์ ทรัมป์เผยว่าจะยังคงเนื้อหาสำคัญของกฎหมายโอบามาแคร์เอาไว้

นอกจากนี้ หลังจากชนะการเลือกตั้งไม่นาน ทีมงานหาเสียงของทรัมป์ได้นำข้อความที่ให้สัญญาว่าจะห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศออกไปจากหน้าเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ

ล่าสุดทรัมป์ยังเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทม์สเป็นเวลา 75 นาทีเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ว่า จะไม่ทำตามคำมั่นสัญญาตอนหาเสียงว่าจะเอาผิด ฮิลลารี คลินตัน กรณีการใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวในการรับส่งอี-เมลสมัยที่เธอดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่าจะเป็นการสร้างความแตกแยก

คงต้องรอดูกันว่า ประธานาธิบดีที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีผลงานเป็นอย่างไรบ้างในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง และจะทำอย่างที่หาเสียงไว้ได้มากน้อยแต่ไหน

หรือจะมีการกลับลำในอีกหลายๆ เรื่องตามมาหลังจากนี้