วิเคราะห์การเมือง : อย่าทำ ‘HULK’ โกรธ!!

ในประเทศ 

อย่าทำ HULKโกรธ

 

เมื่อวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 31 ธันวาคม 2561

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตัดต่อรูปหน้าตัวเองเข้ากับ HULK-ฮัลค์มนุษย์ยักษ์เขียวจอมพลัง ในเฟซบุ๊กของตนเอง พร้อมข้อความ

“ในปีใหม่ 2019 ที่กำลังจะมาถึงนี้

ขอให้พวกเราทุกคนมีกำลังใจและกำลังกายที่แข็งแกร่ง

พร้อมมาร่วมเป็นทีม Avengers ที่จะลุยศึกครั้งสุดท้าย The Final Battle นี้

ไปด้วยกันครับ”

ฮัลค์ในร่างของ ดร.โรเบิร์ต “บรูซ” แบนเนอร์ นักวิทยาศาสตร์สมองแสนอัจฉริยะนั้น

เป็นยอดมนุษย์ที่ได้รับรังสีแกมมา ทำให้มีพลังเหนือมนุษย์, ความเร็ว, ความแข็งแกร่ง, ความคงกระพัน

ไต่ผนังกำแพงได้ หรือกระโดดขึ้นที่สูงได้

สามารถพัฒนาร่างกายและพลังได้ด้วยระดับความโกรธ

จึงไม่สมควรที่ใครจะไปทำให้ฮัลค์โกรธ!!

 

นายชัชชาติหยิบเอาบุคลิก “ฮีโร่ฮัลค์” ที่มีความบึกบึน พละกำลังมาก คล้ายคลึงตัวเองมาเป็นจุดสร้างความสนใจ

โดยเฉพาะสื่อไปถึงคนรุ่นใหม่ ถึงการกลับมาสู่สนามการเมือง ในนามพรรคเพื่อไทย

หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาเข้าไปรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)

และไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งธรรมศาสตร์ เชียงใหม่

จนทำให้หลายคนเชื่อว่านายชัชชาติอาจจะวางมือทางการเมือง

แต่เมื่อรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด ครบวาระสี่ปีเต็ม ประกอบกับเสียงปี่กลองการเลือกตั้งดังขึ้น

นายชัชชาติก็ได้หวนคืนสู่การเมือง

ขอเป็นฮัลค์-มนุษย์ยักษ์เขียวจอมพลัง หนึ่งทีม Avengers เพื่อจะลุยศึกครั้งสุดท้าย The Final Battle

 

การหวนคืนสู่การเมืองของนายชัชชาติ ได้รับการต้อนรับในเชิงบวกจากผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และรวมถึงคนนอกพรรคด้วย

จึงมีการมองว่า ด้วยศักยภาพของนายชัชชาติ ไม่น่าจะอยู่เพียงแค่ผู้สมัคร ส.ส.ธรรมดา

ด้วยเหตุนี้จึงมีการผลักดันชื่อนายชัชชาติเข้าสู่บัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เคียงข้างกับชื่อของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

โดยวางจุดยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยเอาไว้ว่า ให้นายชัชชาติเป็นแม่เหล็กสำหรับคนในเมือง

เพราะได้รับความนิยมจากคนในเมืองหลวง คนรุ่นใหม่

ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์วางไว้เพื่อดึงดูดเสียงจากต่างจังหวัด เพราะมีความคุ้นเคยกับคนในชนบทมากกว่านายชัชชาติ

ซึ่งดูเหมือนจะลงตัว

 

แต่กระนั้น ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีเพียงหนึ่งเดียว

ประกอบกับธรรมชาติทางการเมืองมักจะโน้มเอียงไปที่ผู้นำ “เดี่ยว”

นั่นจึงทำให้เกิดภาพการแข่งขันทางการเมือง ระหว่างบุคคลทั้งสองขึ้น

แม้ทั้งคุณหญิงสุดารัตน์และนาชชัชชาติจะพยายามบอกว่าเป็น “ทีมเดียวกัน”

แต่ดูเหมือนจะขจัดภาพการแข่งขันลงได้ยาก

และนับวันจะเข้มข้นขึ้น เพื่อนำไปสู่คำตอบสุดท้าย ว่าใครสมควรจะขึ้นสู่ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีลำดับที่หนึ่งของพรรคเพื่อไทย

มีข่าว “ปล่อย” ถูกเผยแพร่ออกมามากมาย

หนึ่งในนั้นเป็นข่าวที่อ้างแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยว่า จากการทำโพลภายในครั้งล่าสุด พบว่า หากชูคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี คาดว่าพรรคจะได้ที่นั่งราว 190-200 ที่นั่ง

แต่หากเป็นนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะได้ราว 220 ที่นั่ง

จึงอาจมีการปรับยุทธศาสตร์ชูนายชัชชาติเป็นนายกรัฐมนตรีในการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายได้

นั่นทำให้ชื่อนายชัชชาติโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก

 

ความโดดเด่นนั้น มิได้ทำให้เกิดการแข่งขันเฉพาะในพรรคเพื่อไทยเท่านั้น

หากแต่นายชัชชาติถูกมองเป็นคู่แข่งของพรรคการเมืองอื่น ที่มีเป้าหมายชิง “นายกรัฐมนตรี” อย่างช่วยไม่ได้

จึงนำไปสู่การสร้างแรงเสียดทาน “ทางการเมือง” ขึ้น

โดยเฉพาะในฝั่งฟากของรัฐบาล ที่มองว่า มีมือไม้มากมายที่จะ “ขย่ม” คู่แข่ง

ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีกระแสข่าวปล่อยออกมาแล้วว่าให้จับตาความเคลื่อนไหวของ ป.ป.ช. ที่โฟกัสไปยังคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรค และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แกนนำพรรค ในฐานะเป็นผู้ถูกเสนอชื่อในบัญชีนายกฯ มากเป็นพิเศษ

และมีรายงานว่า ป.ป.ช.ได้หยิบยกคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าวซึ่งถูกยื่นให้ ป.ป.ช. ไต่สวนช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ป.ป.ช.พบคดีที่มีชื่อนายชัชชาติตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย 2 คดี

คดีที่ 1 การกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ครม. รวม 34 ราย กรณีอนุมัติและจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองปี 2548-2553 โดยไม่มีอำนาจและไม่มีกฎหมายรองรับ คดีนี้มีรายชื่อ ครม.ทั้งหมด 34 ราย รวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายชัชชาติ

คดีที่ 2 ข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ ครม.รวม 35 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะการไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 57 วรรคสอง และมาตรา 67 วรรคสอง ในโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนฯ ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบ บริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท โดยได้ให้กลุ่มบริษัทเอกชนต่างๆ มายื่นข้อเสนอตามแผนงานจำนวน 10 โมดูล (Module) และได้ประกาศผลผู้ชนะในวันที่ 10 มิถุนายน 2556 และได้นำเรื่องเข้าสู่ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2556 ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวถูกยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ตั้งแต่ปี 2556

 

ทันทีที่มีกระแสข่าวนี้สะพัดออกไป

พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องว่ามีการเร่งคดีนายชัชชาติ เพราะทุกเรื่องที่จะถูกบรรจุวาระการประชุมกรรมการ ป.ป.ช.นั้นจะต้องผ่านประธาน ป.ป.ช.ก่อน

“ดังนั้น ยืนยันว่าไม่มี และเวลาจะเลือกตั้งเพียงอีกแค่สองเดือนรอได้ ในที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่อยากเป็นเครื่องมือใคร ตอนนี้ทำงานซ้ายก็โดน ขวาก็โดน โดนทั้งหมด ดังนั้น เราจะต้องยืนหลักของเราให้ได้

“ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับที่เป็นข่าว ที่บอกว่าพอนายชัชชาติดังขึ้นมา แล้วไปดึงเรื่องของเขาขึ้นมาเพราะเป็นคู่แข่งของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งนั้น คิดว่าเป็นประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อจะให้ชนกัน ป.ป.ช.ทำงานอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งต้องระวังอย่างมาก มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าในปี 2562 นี้จะมีเรื่องใดที่ต้องจบบ้าง ซึ่งเป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน เพื่อเร่งรัดการทำงานว่ามีคดีสำคัญใดบ้างที่แต่ละสำนักจะต้องดำเนินการให้เสร็จ ต้องประกาศเป็นคำมั่นสัญญาต่อคณะกรรมการ แต่ไม่ได้บอกว่าให้เร่งช่วงก่อนการเลือกตั้ง อย่างนั้นไม่ใช่” พล.ต.อ.วัชรพลระบุ

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ปัดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กล่าวกันขึ้นมาผ่านทางโซเชียลมีเดีย

“มีหลักฐานอะไรหรือเปล่า เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ให้เขาไปตรวจสอบ” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

 

แม้จะมีการปฏิเสธจาก ป.ป.ช. และฝ่ายบริหารอย่างนายกรัฐมนตรี

แต่ดูเหมือนคนในแวดวงการเมืองจะฟังหูไว้หู

เนื่องเพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าว ป.ป.ช.จะจัดการเรื่องจำนำข้าวภาค 2 เพื่อสกัดพรรคที่นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นแกนจัดตั้ง

และใช้เป็นเงื่อนไขการ “ดูด” ทายาทนักการเมืองที่เป็นจำเลยในคดีนี้ให้เข้าพรรคฝ่ายรัฐบาล ท่ามกลางข่าวลือมีสิ่งต่างตอบแทนทางคดีให้

แม้มีเสียงปฏิเสธออกมาจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

แต่ที่สุด คดีจำนำข้าวภาค 2 ก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา

จึงมีความเป็นไปได้ที่คดีของนายชัชชาติกับพวกจะกลับมาเขย่าขวัญในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง

ดังที่นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ข้อสังเกตว่า ช่วงที่นายชัชชาติไปทำธุรกิจก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอกลับเข้าสู่การเมืองก็ถูกตรวจสอบขึ้นมาทันที

“ทุกอย่างที่ถูกดองไว้ กลับมารื้อคดีในช่วงที่มีการเลือกตั้ง ไม่อยากให้รัฐบาลใช้อำนาจรัฐคุกคามคนที่เห็นต่าง เพราะจะไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลเอง ทีคดีความของฝ่ายตัวเอง เช่น คดีนาฬิกากลับยืดเยื้อ แต่พอเป็นคดีฝ่ายตรงข้ามกลับเร่งทำคดีขึ้นมา”

นายชัชชาติซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างไปต่างประเทศ ได้โพสต์เฟชบุ๊กขอบคุณที่หลายคนเป็นห่วง แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด

แต่ก็ได้ดักคอว่า “การตรวจสอบของ ป.ป.ช.เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น ที่จะช่วยให้การทำงานของภาครัฐโปร่งใสขึ้น แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม ปราศจากอคติ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”

ซึ่งแน่นอน ผู้ที่ถูกกระทำโดยไม่มีความเป็นธรรมย่อมโกรธ

หากเป็นโลกการ์ตูน เจ้ายักษ์เขียวคงทะยานไปจัดการคนที่กลั่นแกล้งแล้ว

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง คงจะบุกทะยานไปทำลายฝ่ายตรงข้ามให้พังพินาศไม่ได้

สิ่งที่จะทำได้คือถ่ายทอดความโกรธไปยังประชาชน

ด้วยการชี้ให้เห็นถึงวิธีการอันไม่ปกติฝ่ายอำนาจรัฐ องค์กรอิสระ

ซึ่งหาก “ประชาชน” โกรธตาม

อาจให้บทเรียนทางการเมืองด้วยการไม่สนับสนุนฝ่ายการเมืองที่ไม่สะอาด

แน่นอน ถ้าเป็นเช่นนั้น ย่อมน่ากลัวกว่าฮัลค์หลายเท่า