นรกบนดิน ที่ “อเลปโป” ไร้โรงพยาบาลรักษาผู้คน

สงครามกลางเมืองที่ยังคงยืดเยื้อในประเทศซีเรีย ยังความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่ผู้คนจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในช่วงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานว่า กองทัพของรัฐบาลซีเรีย ได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มเมืองอเลปโปอย่างหนักต่อเนื่องติดต่อกัน 6 วัน

จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 300 คน

ซึ่งนับเป็นการทิ้งระเบิดโจมตีที่หนักหน่วงที่สุดนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองในซีเรียเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน

ซีเอ็นเอ็นรายงานเรื่องนี้เอาไว้ว่า หนึ่งในความรุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุด คือการโจมตีที่ต้องสงสัยว่าเป็นการใช้อาวุธเคมี ที่ทำให้เด็ก 4 คน และพ่อแม่ของเด็ก เสียชีวิต

ซึ่งกลุ่มนักเคลื่อนไหว 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนซีเรีย ในประเทศอังกฤษ และศูนย์การแพทย์อเลปโป ระบุว่า มีการใช้ระเบิดโจมตีย่าน อัล-ซัคฮูร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองอเลปโปอย่างหนักตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ย่านนี้เงียบสงบไปได้ 3 สัปดาห์ โดยกลุ่มป้องกันพลเรือนซีเรีย หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของ “กลุ่มหมวกขาว” ที่เป็นการรวมตัวกันของอาสาสมัครในหน่วยพยาบาลที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ว่าใครได้รับบาดเจ็บ ก็จะเข้าไปช่วย แม้ว่าจะต้องเสี่ยงตาย ได้มีการเปิดเผยยอดผู้เสียชีวิตล่าสุด เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีฟากตะวันออกของอเลปโปแล้วอย่างน้อย 289 ราย

อิสมาอิล อับดัลเลาะห์ หนึ่งในอาสาสมัครของกลุ่มหมวกขาว เปิดเผยว่า ครั้งนี้ถือเป็นการทิ้งระเบิดที่ถือว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมาตลอดระยะเวลา 5 ปีเลยทีเดียว

ขณะที่กลุ่มสมาคมการแพทย์อเมริกันซีเรีย เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า ที่พึ่งเพื่อการเยียวยารักษาผู้คน อย่างโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลต่างๆ ในอเลปโป ต่างถูกระเบิดโจมตี จนไม่มีโรงพยาบาลที่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มที่เหลืออีกเลย

000_gr0ht

ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (ฮู) ที่ออกมาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ระบุว่า โรงพยาบาลที่ยังคงเหลือให้บริการอยู่ในฝั่งที่กลุ่มกบฏยึดครองอยู่ในเมืองอเลปโปนั้น ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และทำให้โรงพยาบาลเหล่านี้ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้

นิวยอร์กไทม์ส รายงานว่า ปฏิบัติการโจมตีของรัฐบาลซีเรีย ต่อฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏในเมืองอเลปโป ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ทำลายโรงพยาบาลกลาง 2 แห่งจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก

ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการรักษาผู้คนในเขตสงคราม นอกจากนี้ ยังมีโรงพยาบาลเด็กอีกหนึ่งแห่งที่ถูกทำลาย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเด็กเพียงแห่งเดียวในย่านนี้

ฮู ระบุว่า การทำลายล้างดังกล่าว ทำให้ผู้คนมากกว่า 250,000 คน ในฝั่งตะวันออกของอเลปโป ไม่มีโรงพยาบาลสำหรับรักษาผู้ป่วย และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า โรงพยาบาลเหล่านี้จะสามารถเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยต่อได้หรือไม่

แถลงการณ์ของฮูระบุว่า แม้ว่าบริการด้านสาธารณสุขจะยังคงมีอยู่ตามคลินิกเล็กๆ ทั่วไป แต่ชาวบ้านจะไม่สามารถเข้าถึงการรักษาบาดแผลต่างๆ หรือการผ่าตัดใหญ่ หรือการปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้

000_bo3wu

นายแพทย์โอมาร์ ประสาทศัลยแพทย์คนสุดท้ายที่ยังอยู่ในเขตฝั่งตะวันออกของอเลปโป ซึ่งปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อเต็มของตัวเองเพื่อความปลอดภัย พูดอย่างสิ้นหวังว่า

“เราไม่มีโรงพยาบาลให้บริการรักษาผู้ป่วยอีกต่อไปแล้ว คุณคิดภาพไม่ออกหรอกว่า จะอยู่ในอเลปโปตอนนี้ได้อย่างไร มันเหมือนกับการอยู่ในนรก ทุกหย่อมหญ้าล้วนแล้วแต่ลุกเป็นไฟ ระเบิดลงเหมือนกับฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า อยากจะขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศรีบส่งความช่วยเหลือมาโดยด่วน”

ขณะที่หน่วยงานด้านมนุษยธรรมต่างระบุว่า การโจมตีสถานพยาบาลทั้งหลาย เป็นการกระทำที่ไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว

และตอนนี้ พื้นที่ที่กลุ่มกบฏครอบครองอยู่ทางฝั่งตะวันออกของอเลปโป ถูกล้อมรอบไว้ด้วยกองกำลังของฝ่ายรัฐบาล

ส่วนอาหาร ยา เชื้อเพลิง ก็กำลังจะหมด เหลือน้ำสำหรับบริโภคเพียงน้อยนิด

ทำให้ผู้ที่อยู่ในเมือง ไม่ว่าจะเป็นประชาชนตาดำๆ หรือกลุ่มกบฏ กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต

 

อเลปโป เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศซีเรีย แต่กลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิสงครามกลางเมืองของซีเรีย ตั้งแต่ปี ค.ศ.2012 เป็นต้นมา และสถานการณ์ก็เลวร้ายลงในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีปฏิบัติการทิ้งระเบิดถล่มฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏแบบไม่ลืมหูลืมตา

นิวยอร์กไทม์สระบุว่า แม้ว่าตอนนี้การทิ้งระเบิดอย่างหนักได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แต่รัฐบาลซีเรียคงจะเดินหน้าถล่มอเลปโปต่อไปอย่างแน่นอนโดยไม่คำนึงถึงเรื่องมนุษยธรรม และเพื่อเป็นการทำให้เชื่อมั่นได้ว่า บรรดาชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จะไม่สามารถเข้าไปหยุดรัฐบาลซีเรียได้

จูสต์ ฮิลเทอร์มานน์ ผู้อำนวยการโครงการตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ จากกลุ่มอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป บอกไว้ว่า อเลปโป ถือเป็นจุดที่สำคัญอย่างยิ่ง แม้ว่ารัฐบาลซีเรียอาจจะสามารถยึดเมืองคืนจากกลุ่มกบฏได้เกือบหมดแล้ว แต่รัสเซีย และอิหร่าน รวมทั้งพันธมิตรประเทศอื่นๆ ของรัฐบาลซีเรีย กลับไม่ได้สนใจ เพราะทุกฝ่ายต่างมองไปที่ “อเลปโป” เป็นหลัก

เหตุเพราะอเลปโปใหญ่เกินกว่าที่จะปล่อยไป และช่วงเวลาของการ “ไร้ผู้นำ” ของสหรัฐอเมริกา ที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ไปสู่การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะต้องฉวยเอาไว้

เมื่ออเลปโป กลายเป็นเครื่องมือของความขัดแย้ง ภาพแห่งความสูญเสีย ก็คงจะไม่หมดลงไปง่ายๆ เหลือเพียงลมหายใจรวยรินของผู้คน และซากปรักหักพัง ที่แม้เพียงสถานพยาบาลก็ยังไม่เหลือที่จะทำหน้าที่ในการเยียวยาบาดแผลทางร่างกายให้ผู้คน

ไม่นับรวมบาดแผลทางจิตใจ ที่ไร้ซึ่งยาที่จะมารักษาได้