ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 ธันวาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
ผู้เขียน | อาชญา ข่าวสด |
เผยแพร่ |
เป็นคดีความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อปี 2557
ขณะที่กลุ่มกปปส. ก่อม็อบไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ
พร้อมเดินขบวนไปทั่วกรุง แม้จะมีการ์ดมืออาชีพมาคอยอารักขา แต่ก็เกิดเหตุรุนแรงขึ้นบ่อยครั้ง
ที่รุนแรงและเป็นที่รับรู้ มีภาพวงจรปิดคนร้ายชัดเจน ก็คือเหตุการณ์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งเหตุภาพชายสวมหมวกปาระเบิดเข้าใส่เวที ก่อนที่จะวิ่งหลบหนีไป
เป็นระเบิดแบบอาร์จีดี 5 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเคยใช้ก่อเหตุที่ย่านบรรทัดทองเช่นกัน
เพราะการลงมือที่หวังผลถึงตัวแกนนำ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
นำมาซึ่งการออกหมายจับผู้ก่อเหตุ
ในที่สุดผ่านไป 4 ปี เจ้าหน้าที่ก็สามารถจับกุมตัวได้สำเร็จ
เมื่อสอบสวนได้รับคำสารภาพก็ต้องตกตะลึง
เพราะไม่ได้เชื่อมโยงกับกลุ่มการเมืองใดๆ แต่เป็นการลงมือคนเดียว หรือที่เรียกว่าโลนวูล์ฟ
โดยมีต้นเหตุจากความคับแค้น!??
■ จับแล้วปาบึ้มกปปส.ปี 57
ค่ำวันที่ 14 ธ.ค. พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. ในฐานะผอ.ศปอส.ตร. และ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา หน่วยบัญชาการรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ร่วมจับกุมนายกฤษดา ไชยแค อายุ 47 ปีอยู่บ้านเลขที่ 660/5 ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
ตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 20 ก.พ. 2557 ฐานความผิดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา กระทำให้เกิดการระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคล ทรัพย์สิน ของผู้อื่น มีและใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้มี และให้ใช้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนและวัตถุระเบิด ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน
ฝ่าฝืนประกาศ ข้อกำหนดที่ห้ามนำอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดออกนอกเคหสถาน ตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551
โดยจับกุมได้ที่ชายแดนไทย ใกล้กับด่านจ.สระแก้ว ขณะพยายามหลบหนีเข้าเมือง
ทั้งนี้นายกฤษดา เป็นผู้ต้องหาก่อเหตุปาระเบิดใส่เวทีผู้ชุมนุมกปปส. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 57 ขณะที่นายถาวร เสนเนียม อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์คุมเวทีอยู่ เป็นเหตุให้ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย
โดยหลังก่อเหตุหลบหนีการจับกุมไปอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ต่อมาเจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวจึงประสานตำรวจกัมพูชา ประสานความร่วมมือ เมื่อนายกฤษดา ทนแรงกดดันไม่ไหว จึงตัดสินใจข้ามกลับมายังฝั่งไทย และถูกจับใกล้ด่านตม.สระแก้ว อ.คลองลึก
จนมุมหลังหลบหนีนาน 4 ปี
■ สารภาพลงมือคนเดียว
โดยนายกฤษดา ให้การรับสารภาพว่า ช่วงปี 2557 ที่มีม็อบกปปส. ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณอดีตเลขาฯ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ออกมาขับไล่ รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มาจากการเลือกตั้ง
ประกอบกับความชื่นชอบนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นทุนเดิม จึงรู้สึกว่าถูกข่มเหงจนทนไม่ไหว จึงรวมกลุ่มกันตั้งเป็น กลุ่มฮาร์ดคอร์ขึ้นมาก่อเหตุ โดยลงมือปาระเบิดเอง 2 ครั้ง คือที่บรรทัดทอง เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2557 ขณะที่ขบวนนายสุเทพ เดินผ่าน
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บกว่า 30 ราย
อีกครั้งที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2557 ขณะที่นายถาวร เสนเนียม คุมเวทีอยู่ เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 28 คน
ซึ่งทั้ง 2 ครั้งมีผู้ถ่ายคลิปวิดีโอไว้ได้ รวมทั้งมีกล้องวงจรปิดที่จับภาพไว้ได้เช่นกัน
โดยวันก่อเหตุ นายกฤษดารับสารภาพว่า นำระเบิดไปที่จุดดังกล่าว ก่อนที่จะดึงสลัก แล้วเขวี้ยงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แล้ววิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังว่ามีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แล้วจึงหลบหนีไปกบดานยังประเทศเพื่อนบ้านตั้งแต่ปี 2557 โดยมีบุคคลให้ความช่วยเหลือ ทางการเงินเดือนละ 3 หมื่นบาท แต่ต่อมาเงินที่ได้ก็น้อยลงเรื่อยๆ เหลือเดือนละ 9 พันบาท ซึ่งไม่พอใช้จ่าย
ประกอบกับถูกตั้งค่าหัวถึง 7 แสนบาท ซึ่งหลังจากหลบหนีออกมา ได้ติดตามข่าว 13 หมูป่าอะคาเดมี ที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เห็นความสามัคคีกันมากขึ้นของคนไทย
จึงรู้สึกสำนึกผิด ตัดสินใจหลบหนีกลับ เข้ามาในประเทศ เพื่อหวังจะมอบตัวกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ
เป็นคำสารภาพของผู้ก่อเหตุ
■ ย้อนนาที 2 เหตุระทึก
สำหรับเหตุการณ์ระเบิดที่ถนนบรรทัด ทองนั้น เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ของวันที่ 17 ม.ค. 2557 ขณะที่นายสุเทพ เลขาฯ กปปส. เดินขบวนมาที่ถนนบรรทัด ทอง มุ่งหน้าแยกเจริญผล ก็เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องที่รถเครื่องเสียงนำขบวน ทำให้นายประคอง ชูจันทร์ เสียชีวิต และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 38 คน
ตรวจสอบที่เกิดเหตุพบใช้ระเบิดแบบ อาร์จีดี 5
ก่อนหน้านี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากคนร้าย หรือเป็นการจัดฉากของกปปส.ด้วยกันเอง เนื่องจากก่อนเดินเข้าถนนบรรทัดทอง มีการเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน แตกต่างจากที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น แต่เมื่อสืบสวนจากคลิปวิดีโอ จับภาพชายต้องสงสัยไว้ได้
ซึ่งคนร้าย ก็คือนายกฤษดา ลักลอบปะปนเข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุม เดินมาข้างรถเครื่องเสียง เมื่อสบโอกาสก็ปาระเบิดเข้าใส่รถเครื่องเสียงจนมีผู้บาดเจ็บ
ส่วนเหตุการณ์ที่อนุสาวรีย์ชัย หน้า โรงพยาบาลราชวิถี เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2557 โดยนายกฤษดาปาระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุม นุมกปปส.2จุด เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ 28 ราย
โดยหลังก่อเหตุวิ่งหลบหนีไปยังท้ายซอยราชวิถี 14 ซึ่งเป็นทางตัน ก่อนพังรั้วสังกะสี แล้ววิ่งหลบหนีไปตามทางเดินเลียบคลองสามเสน ทะลุออกใต้ทางด่วนวัดมะกอก แล้วขึ้นจยย.รับจ้าง ไปสะพานซังฮี้
เมื่อถึงสะพานซังฮี้ ก็หนีต่อไปยังวัดรวกบางบำหรุ แล้วหายเข้าไปในซอยวัดดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ตามไปพบเสื้อและหมวกของคนร้ายที่ใส่ก่อเหตุ ตามที่วงจรปิดจับภาพได้
ตรวจสอบที่เกิดเหตุจุดที่ 1 พบกระเดื่องที่ถนน ใกล้เต็นท์หลังเวทีปราศรัย จุดที่ 2 พบสลักระเบิด 1 ชิ้นและกระเดื่องอยู่ในกองเสื้อผ้าที่วางขาย ห่างจากจุดแรก 3 เมตร พบระเบิดที่ใช้ก่อเหตุเป็นระเบิดแบบอาร์จีดี 5 เหมือนกับที่บรรทัดทอง
สันนิษฐานได้ว่าคนร้ายจาก 2 เหตุนี้เป็น กลุ่มเดียวกัน
■ ศาลอาญายกฟ้องจำเลยอื่น
สำหรับคดีระเบิดเมื่อปี 2557 หลังจากที่เกิดรัฐประหารโดยคสช. เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 2 ราย ประกอบด้วยนายรัฐพรรณ์ หลุ่มบางล้า และนาย อภิชาติ พวงเพ็ชร และส่งฟ้องศาลอาญาในคดีระเบิดที่ถนนบรรทัดทอง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2561 โดยคดีระเบิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ศาลอาญายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา โดยข้อหาครอบครองระเบิด เห็นว่าฟ้องซ้อนกับคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งศาลมี คำพิพากษาไปแล้ว
ส่วนข้อหาร่วมกันทำให้เกิดเหตุระเบิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โจทก์มีประจักษ์พยานยืนยันว่าคนร้ายมีเพียงคนเดียว และไม่มีใครช่วยหลบหนี ประกอบกับภาพจากวงจรปิด และสารพันธุกรรมที่เก็บได้จากเสื้อแจ๊กเกตที่คนร้ายทิ้งไว้ ชี้ว่าคนร้ายคือนาย กฤษดา เพียงคนเดียว
ส่วนที่จำเลยทั้งสองถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้รับระเบิดมาส่งให้นายกฤษดา ก็เป็น คำให้การของนายพีรพงษ์สินธุสนธิชาติ และ คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นหลักฐานเท่านั้น
แต่นายพีรพงษ์ เบิกความต่อศาลว่า ไม่เคยให้การตามบันทึกคำให้การ แต่ถูกให้ลงชื่อในเอกสารที่ไม่ได้อ่าน ที่ยอมลงชื่อเพราะถูกคุมตัวโดยทหารตามกฎอัยการศึกนานกว่า 7 วัน เกินที่กฎหมายกำหนด และถูกทำร้ายร่างกายเพื่อให้ทำตามคำสั่ง
แม้จำเลยทั้งสองจะรับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธในชั้นศาล บันทึกคำให้การจำเลยก็มีพิรุธเพราะคำให้การสอบสวนโดยพนักงานสอบสวน 3 คน มีเนื้อหาเหมือนกัน โจทก์ไม่มีหลักฐานอื่นแสดงว่าจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับคดี ข้อเท็จจริงจึงไม่แน่ชัด
หลังรัฐประหาร คสช.ถูกร้องเรียนว่าซ้อมทรมานบุคคลระหว่างควบคุมตัวในค่ายทหาร โดยพล.ต.วิจารณ์จดแตง ให้การต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ว่าที่ไม่ให้ ผู้ถูกควบคุมพบทนายเพราะกลัวไม่ได้ข้อเท็จจริงจากการซักถาม และฝ่ายทหารติดกล้องวงจรปิด รวมทั้งให้แพทย์มาตรวจร่างกายผู้ถูกควบคุมตัว เพื่อป้องกันข้อครหา
แต่คดีนี้ ไม่มีภาพวงจรปิดขณะซักถามในค่ายทหาร และไม่มีใบรับรองแพทย์ ทนายไม่ได้อยู่ร่วมขณะเจ้าหน้าที่ซักถามจำเลย และไม่มีการอ้างส่งบันทึกซักถามเข้ามาในสำนวน
นอกจากนี้โจทก์ยังไม่นำอดีตภรรยาของนายณัฐพรรณ์ ที่อ้างว่าไปรับระเบิดกับนายณัฐพรรณ์ มาเบิกความ บันทึกคำให้การของจำเลย ก็ไม่ปรากฏว่ามีพยานปากดังกล่าวไปรับระเบิด บันทึกคำให้การของนายสมเจตน์ ที่ซัดทอดถึงจำเลยทั้งสอง ก็ขัดแย้งกันเอง
ทั้งคู่ยังอ้างว่าถูกทำร้ายและข่มขู่ให้รับสารภาพขณะถูกควบคุมตัว ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานอย่างหนักแน่น พยานโจทก์นำสืบยังมีความสงสัย จึงยกประโยชน์ให้จำเลย
พิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา สั่งขังจำเลยทั้งสองระหว่างอุทธรณ์คดี
รอฟังคำพิพากษาจากศาลอุทธรณ์