จรัญ พงษ์จีน : สถานะ “พลังประชารัฐ” กับ “เพื่อไทย” หลังปลดล็อก 9 ฉบับ

จรัญ พงษ์จีน

พี่เขาจัดให้ตามเสียงเรียกร้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนใครจะส่งเสียงสะท้อนว่าเป็นอะไร “ปลดล็อก-ปล่อยผี” ก็แล้วแต่มุมมอง เอาเป็นว่า “คสช.” ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ใจสปอร์ตยอดขุนพลเอามากๆ ปลดปล่อยหมดจนไม่มีอะไรเหลือ “ยกเลิกคำสั่ง คสช.ถึง 9 ฉบับ” ล้างสต๊อกทั้งกระดาน

ตามที่ได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ออเดิร์ฟ “เรียกน้ำย่อย” เกี่ยวกับเรื่องห้ามกระทำการใดๆ หรือสั่งให้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือดำเนินการทางการเงินเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล 2 ฉบับนำร่อง

“ไฮไลต์” อยู่ที่คำสั่ง คสช.ที่ 22/2561 คือ ยกเลิกการห้ามชุมนุมทางการเมือง หรือมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กับคำสั่ง คสช. เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ คือการยกเลิกการห้ามพรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่ จัดตั้งสาขาพรรค ประชุมสมาชิกพรรค หรือพรรคการเมืองที่จะตั้งขึ้นใหม่ การจัดประชุมก่อตั้งพรรคก็ไม่ต้องขออนุญาต คสช.

ไม่เหลือแม้กระทั่งทั้งการดำเนินตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง คือการ “ยกเลิกการห้ามพรรคการเมืองหาเสียง หรือประชาสัมพันธ์ ติดต่อสื่อสารกับผู้ดำรงตำแหน่งภายในพรรค และสมาชิกพรรค”

พูดง่ายๆ ต่อไปนี้ “คนการเมือง” สามารถหาเสียงได้อย่างฟรีสไตล์ ขึ้นป้ายคัตเอาต์อะไรต่อมิอะไร ที่ทำไม่ได้มาสี่ซ้าห้าปี ต่อไปนี้ทำได้อิสรเสรี

ทุกประการจะสะเด็ดน้ำ รูดปรื๊ดได้เต็มร้อย อีกหน่อยหนึ่งต่อเมื่อ “พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ประกาศออกมาในวันที่ 2 มกราคม 2562 จากนั้น “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” จะประกาศวันทำศึกเลือกตั้งใหญ่ มาตามนัด ตรงตามกำหนด วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562

ตามโปรแกรม วันที่ 14-18 มกราคม 2562 จะเป็นวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และกำหนดวันลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งในและนอกราชอาณาจักร การใช้สิทธินอกราชอาณาจักร ให้สถานทูตและสถานกงสุลเป็นผู้กำหนด แต่วันสุดท้ายเป็นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562

เนื่องจากต้องนำบัตรกลับมานับพร้อมกับบัตรลงคะแนนล่วงหน้าในประเทศในหน่วยเลือกตั้งที่กำหนดขึ้น โดยจะนับหลังปิดการลงคะแนนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562

“ประชาธิปไตย” การปกครองที่ประชาชนพลเมืองเป็นใหญ่ ได้กลับมาเป็นผู้กำหนดชะตากรรมสังคมร่วมกันอีกครั้ง หลังถูกยึดอำนาจ โดนแช่แข็งอยู่ในช่องฟรีซมาเกือบ 5 ปี

แม้จะเป็นประชาธิปไตยแบบไทย-ไทย “กลุ่มทุน-ขุนศึก” เป็นใหญ่เหนือประชาชน ได้เลือกผู้แทนฯ ไปทำหน้าที่แทนตนเองในรัฐสภาก็จริง แค่จำนวนหนึ่ง อีก 250 คน ยังมาจากการสรรหาตามรัฐธรรมนูญในรูปแบบผสมผสาน คือ “ส.ว.” แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลือกตั้ง

“กติกา” บูดเบี้ยวอัปลักษณ์ไม่กลัว…กลัวไม่ได้เลือกตั้งมากกว่า

 

ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ แชมป์เก่า “พรรคเพื่อไทย” ที่ชนะแบบถล่มทลายมาจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554 กวาดทั้งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อสูงถึง 264 เสียง สามารถฟอร์มรัฐบาลได้พรรคเดียว

แต่คาบใหม่ ดังที่ทราบ “เพื่อไทย” โดนเรือใบเจาะยางสารพัดรูปแบบ เริ่มจากกฎ-กติกาใหม่ ว่าด้วย “ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ซึ่งกำหนดให้ยกเลิกบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ มาเป็นใช้บัตรใบเดียวทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ

ขนาดว่าฐานประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพิ่มปริมาณ แต่ ส.ส.เขตเลือกตั้งถูกลดจำนวน แต่นำมาเพิ่มในสัดส่วนปาร์ตี้ลิสต์

ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งจะแพ้หรือชนะ คะแนนเสียงจะไม่สูญเปล่า ทุกคะแนนที่ไปหย่อนบัตรลงเลือกตั้ง จะมีคุณค่า ถูกยกยอดมาเป็น “คะแนนพรรค”

กฎข้อบังคับเหล่านี้ ทำให้เชื่อกันว่า “พรรคเพื่อไทย” จะเสียรังวัดมากกว่าใครเพื่อน

“ประชานิยม” นโยบายต่างๆ ที่เคยได้รับความนิยมจากประชาชนจนทำให้ได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมาก กลยุทธ์สำคัญของพรรคมาตลอด ก็โดนกดทับด้วยนโยบาย “ประชารัฐ”

“กลุ่มทุน” ที่เป็นท่อน้ำเลี้ยง ถูกบล๊อก แตะสกัดกระดิกตัวไม่ได้เลย

จนเป็นห้องเครื่องสำคัญให้ “ตัวบุคคล” ที่เคยเป็นสมุนกุนซือเก่ามาทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่ “ไทยรักไทย-พลังประชาชน” ต่างพากันแหกด่านมะขามเตี้ย เป็นเสือข้ามห้วย แห่นาคไปซบ “พรรคพลังประชารัฐ”

ด้วยองคาพยพ หมายมั่นมุ่งกระแทกกลางเพื่อไทยให้เสียศูนย์ดังกล่าว จึงเป็นที่คาดหมายกันว่า ศึกเลือกตั้งครั้งใหญ่ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พรรคเพื่อไทยไม่เกิดสภาพ “หิมะถล่มทลาย” อีกต่อไปแล้ว

โดยบีบทุกรูปแบบ ด้วยมูลเหตุดังกล่าว รายชื่อบุคคลที่จะนำเสนอเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไป จนป่านนี้แล้วยังปล่อยหมัดเด็ดออกมาไม่ได้ ผิดกับฝั่งผู้ท้าชิง ประกาศวางตัว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไว้ในทำเนียบนามอันดับ 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“พรรคพลังประชารัฐ” ทำโพลมาแล้ว 3 รอบ สุ่มสำรวจขุมกำลังที่จัดการวางตัวผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทั้งเขตและบัญชีรายชื่อเกือบจะลงตัวเรียบร้อยแล้วทั้งหมด เชื่อมั่นตัวเองว่าจะชนะ “พรรคเพื่อไทย” ค่อนข้างชัวร์

หนทางแห่งชัยชนะ คุยโขมงว่าเสียงจะออกมาสูสีกัน แต่เมื่อคูณคำนวณกับ “พรรคแนวร่วม” ฐานเสียงสนับสนุน “บิ๊กตู่” กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งเกิน 251 ที่นั่ง

อย่างไรก็ตาม ใครจะประเมินตัวตนมากแค่ไหน “เพื่อไทย” เชื่อมั่นว่า พรรคจะชนะเลือกตั้ง “ตัวบุคคล” ที่ไปสังกัดพรรคใหม่คือ “พลังประชารัฐ” ไปแต่ตัว ไม่สามารถหิ้วคะแนนเสียงติดตัวไปได้

หลายคนที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรี-แกนนำขาใหญ่ จะสอบตก เพราะการเมืองอยู่กับที่ ไม่มีเลือกตั้งมา 7 ปีแล้ว

หลายคนทิ้งพื้นที่ ชาวบ้านจำหน้าค่าตาแทบไม่ได้แล้ว เหนือสิ่งอื่นใดคือ เสียงของคนรุ่นใหม่จะเป็นตัวแปรสำคัญ ตามข้อมูลพื้นฐาน ทุกครั้งของการเลือกตั้ง จะมี ส.ส.เก่าสอบตกประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ จะสอบตกเกินร้อยละ 50