ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ธันวาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
ผู้เขียน | วงค์ ตาวัน |
เผยแพร่ |
ขณะที่ยอดคนเข้าดูมิวสิกวิดีโอเพลงประเทศกูมียังคงพุ่งทะยานไม่หยุด สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะเหล่าวัยรุ่น วัยหนุ่ม-สาว ว่าอึดอัดกับบรรยากาศประเทศในยุคไร้สิทธิเสรีภาพเช่นไร
“เลยขานรับเสียงเพลงที่ต่อต้านท้าทายอำนาจกันอย่างกว้างขวาง”
แถมเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่กำลังจะผ่านพ้นยุครัฐประหาร เข้าสู่ยุคประชาธิปไตย กำลังจะมีการเลือกตั้ง คงยิ่งกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวกันยกใหญ่
ยิ่งบรรยากาศในช่วงใกล้เข้าสู่เลือกตั้ง เต็มไปด้วยพฤติกรรมพิลึกพิลั่นของฝ่ายที่มีอำนาจ เล่นได้ฝ่ายเดียว แจกได้ฝ่ายเดียว
น่าจะยิ่งปลุกความรู้สึกไร้ความเป็นธรรมในประเทศนี้ให้ยิ่งพลุ่งพล่าน
ยิ่งปลุกเร้าให้อยากออกจากบ้านเดินเข้าคูหากาบัตรในวันเลือกตั้งกันอย่างล้นหลาม
“เพื่อยืนยันว่าอำนาจการเมืองต้องอยู่ในมือของประชาชน ไม่ใช่อยู่ในมือของกลุ่มคนคณะเดียว ภายใต้ข้ออ้างปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง!?!”
คนไทยไม่ได้เลือกตั้งมาแล้วถึง 7-8 ปี มันน่าเจ็บใจขนาดไหน
ทั้งที่วีรชนคนหนุ่ม-สาวและประชาชนจำนวนมากมาย ยอมตายยอมเสียเลือดเนื้อเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย เสรีภาพ และอำนาจการเมืองเป็นของประชาชน
แล้วประชาธิปไตยก็เบ่งบาน ภายใต้การเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษา-ประชาชน ตั้งแต่หลัง 14 ตุลาคม 2516 จนกระทั่งต้องมีแผนโหดเหี้ยมปราบปรามเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
เพื่อหยุดยั้งและกวาดล้าง ไม่ให้ฝ่ายที่ใฝ่หาเสรีภาพประชาธิปไตยขยายใหญ่ไปกว่านี้
“เป็นการดิ้นรนครั้งสำคัญของฝ่ายอำนาจเก่า ฝ่ายอนุรักษนิยมทางการเมือง ที่ปรารถนาให้สังคมไทยอยู่กันอย่างว่านอนสอนง่าย”
คิดดูแล้วกัน ฆ่ากันใจกลางเมืองหลวง ฆ่าในธรรมศาสตร์ แล้วเอามาฆ่ากลางสนามหลวงอีก
โจ๋งครึ่มขนาดนี้ คนที่ลงมือฆ่าก็กล้าฆ่าได้อย่างไม่หวั่นเกรงอะไร และสุดท้ายก็ไม่ต้องมีใครรับผิดอะไร
“ลงเอยด้วยการนิรโทษกรรมทุกฝ่ายในเหตุการณ์นี้”
กระนั้นก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงยังถูกปกปิด ประวัติศาสตร์ยังถูกกลบ ฝ่ายที่ถูกกระทำ หรือคนที่ไม่ยอมจำนนกับอำนาจเลวร้าย จึงยังคงทวงถามความจริงไม่สิ้นสุด
สำคัญสุดคือ ถ้าปล่อยเฉย ก็พร้อมจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้อีก
6 ตุลาฯ ผ่านมาแล้ว 42 ปี ทั้งที่ทางการพยายามจะให้ทุกคนลืมเลือน ไม่พูดถึง ไม่มีการบันทึกอะไร ไม่มีอยู่ในตำราเรียน
แต่วันนี้คนจำนวนไม่น้อยก็ไม่เคยลืม และยังพูดถึงต่อไป
ฉากสำคัญในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นภาพข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ระดับโลก และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายในเหตุการณ์นี้ กระทั่งกลายเป็นสัญลักษณ์โดยรวมของการประจานความรุนแรงในประเทศไทย ที่เกิดจากฝ่ายผู้มีอำนาจกระทำกับคนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพประชาธิปไตย
“นั่นคือ ภาพเก้าอี้ฟาดศพ!!”
ฟาดใส่ร่างที่โดนแขวนคอกับต้นมะขาม ริมสนามหลวง หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขนาดคนรุ่นใหม่ที่ผลิตเพลงประเทศกูมี ยังเลือกนำฉากเก้าอี้ฟาดศพนี้มาใช้ในมิวสิกวิดีโอ
“เหมาะสมกลมกลืนอย่างมาก และกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของคนที่ได้ฟังเพลงได้ดูวิดีโอให้เห็นถึงความเลวร้ายที่เกิดในประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี”
เช่นเดียวกัน คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ที่เกิดไม่ทัน หรือไม่เคยได้รับรู้ความจริงของ 6 ตุลาฯ
เมื่อได้รู้ได้เห็นผ่านเพลงประเทศกูมี คงมีจำนวนไม่น้อยที่ค้นหาความจริงของ 6 ตุลาฯ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงให้ได้ศึกษาเรียนรู้กันมากมายผ่านเว็บไซต์หลายเว็บที่บรรจุเรื่องราวเอาไว้
“โลกดิจิตอล เปิดกว้างให้ได้เรียนรู้เสมอ ถ้าเปิดหูตาและเปิดใจ!”
42 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่ทำให้ความจริงความเจ็บปวดเลือนหายไปได้ง่ายๆ
“แต่คงไม่ปลุกให้ลุกขึ้นมาล้างแค้นเอาคืนกัน เพียงแต่ปลุกให้ทุกคนตระหนักถึงความไม่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นมาอีก”
เช่นเดียวกัน วันนี้คนอีกจำนวนไม่น้อยก็คงต้องสนใจศึกษาเหตุการณ์ 99 ศพ ปี 2553 อีกเรื่องราวเลวร้ายรุนแรง ที่ผู้มีอำนาจกระทำกับประชาชนที่มาชุมนุมต่อสู้ทางการเมือง
เนื่องจากระยะนี้ได้กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อแกนนำ นปช. ยังคงติดตามทวงถามความคืบหน้าคดี
เมื่อญาติมิตรของผู้สูญเสีย เช่น นางพะเยาว์ อัคฮาด เเม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิต 1 ใน 6 ศพวัดปทุมวนาราม ออกมาเรียกหาความเป็นธรรมอย่างไม่ท้อถอย
แล้วความจริงก็ปรากฏว่า ผ่านมา 8 ปีแล้ว แต่สำนวนคดีไม่คืบหน้า เกี่ยงกันไปมาระหว่างอัยการกับดีเอสไอ
ผลสะเทือนจากความจริงอันน่าเศร้าเหล่านี้ ย่อมทำให้คนจำนวนมากในสังคมไทยต้องสนใจค้นหาข้อมูลของเหตุการณ์สลายม็อบเมื่อปี 2553
เกิดอะไรขึ้นกับ 99 ศพ และโดยเฉพาะ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม!?
ในทางการเมือง อาจจะมีการสร้างวาทกรรมเพื่อกล่าวหาใส่ร้ายกันขนาดไหน และอาจจะทำให้คนจำนวนหนึ่งเห็นภาพตึกรามอาคารถูกไฟเผา เป็นเรื่องใหญ่กว่าภาพคนที่ถูกยิงตายร่วมร้อยศพก็ตามที
แต่ในทางพยานหลักฐานทางกระบวนการคดี
“ผู้มีอำนาจในเหตุการณ์ปี 2553 กลับละเลี่ยงที่จะพิสูจน์คดีนี้ผ่านกระบวนการยุติธรรม!?!”
“ฝ่ายผู้ชุมนุม ที่เขาหาว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมืองเสียอีก ที่ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อต้องการให้คดีนี้ขึ้นสู่ศาล เพื่อเปิดพยานหลักฐานพิสูจน์ความจริง”
ข้อเท็จจริงทางคดีนี้ นอกจากภาพนิ่ง คลิปวิดีโอ ของนักข่าวทั้งไทยและต่างชาติ ไปจนถึงจากประชาชนทั่วไปที่บันทึกเอาไว้
เห็นภาพเจ้าหน้าที่ ศอฉ.ยิงใส่ผู้ชุมนุมแน่นอน มีเสียงสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่ทีมสไนเปอร์ชัดแจ้ง ยิงแล้ว ล้มแล้ว พอแล้ว
“ไม่เท่านั้น มีการทำสำนวนไต่สวนชันสูตรศพ ขึ้นพิสูจน์ในชั้นศาลไปแล้วบางส่วน และศาลชี้ไปแล้ว 17 ศพ ว่าตายด้วยปืนของเจ้าหน้าที่ ศอฉ.”
โดยเฉพาะ 6 ศพวัดปทุมฯ ซึ่งเกิดเหตุในเย็นวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังจากแกนนำเสื้อแดงถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวไปหมดแล้ว การชุมนุมสลายไปหมดแล้วตั้งแต่ช่วงบ่าย เหลือผู้ชุมนุมราว 2 พันคนที่ขอหลบอยู่ภายในวัดปทุมฯ เนื่องจากได้ประกาศเป็นเขตอภัยทาน เอาไว้เป็นที่พักพิงของผู้ชุมนุมสูงวัย หรือคนเจ็บป่วย
ไม่มีกระบวนการต่อสู้ของฝ่ายเสื้อแดงหลงเหลืออีกแล้ว
สายตาของคนในวัดปทุมฯ นับพัน และกล้องวิดีโอของตำรวจถ่ายจากตึกสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นเจ้าหน้าที่ชุดลายพราง หมวกเหล็กติดสติ๊กเกอร์สีชมพู สัญลักษณ์ปฏิบัติการของ ศอฉ.ในวันนั้นชัดเจน
“ยืนยิงจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอสหน้าวัดปทุมฯ ส่องยิงลงไปภายในวัด โดยคนยิงไม่ต้องก้มหลบ อธิบายได้เลยว่า ไม่มีใครยิงต่อสู้ขึ้นมา”
การไต่สวนชันสูตรศพวัดปทุมฯ ศาลชี้ว่า 6 ศพตายด้วยกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส และจากชุดพื้นราบที่ยิงจากหน้าวัด โดยไม่มีชายชุดดำยิงต่อสู้ ไม่มีการใช้อาวุธจากคนในวัด
ในสำนวนของดีเอสไอ มีสอบปากคำเจ้าหน้าที่ ศอฉ.ชุดนั้น ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามและสังกัดชัดเจน
“ขนาดนี้ถ้าไม่มีการพิสูจน์คดี ไม่มีความจริง ไม่มีความเป็นธรรม ก็ยากจะยอมรับกันได้”
ทั้งเมื่อเป็นข่าวดังขึ้นมาอีกรอบ มีการปกปิดยื้อคดีแบบนี้ จึงยิ่งกระตุ้นให้เกิดข้อสงสัยและความสนใจ
วันนี้คนจำนวนไม่น้อยเข้าไปค้นหาข้อเท็จจริง คำตัดสินผลการไต่สวนชันสูตรศพ 17 ราย ที่ค้นหาได้ไม่ยาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการไต่สวน 6 ศพวัดปทุมฯ
ประวัติศาสตร์ความรุนแรงในประเทศนี้ไม่มีทางลบเลือนได้ง่ายๆ
ภาพเก้าอี้ฟาดศพก็ไม่มีใครลืม และภาพยิงคนตายในวัดด้วย!