‘จตุพร’ แจงปมตีความหนุนเผด็จการ ย้ำอยากให้พูดคุยเป็นสัญญาประชาคม

วันที่ 2 ธันวาคม 2561 ที่ร้านกาแฟ พีซ คอฟฟี่แอนด์ไลบรารี่ อิมพีเรียลเวิลด์ลาดพร้าว มีการจัดกิจกรรมต่อลมหายใจพีซทีวีเป็นประจำทุกวันอาทิตย์โดยมีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ผลัดเปลี่ยนกันมาร่วมพบปะพูดคุยกับพี่น้องมวลชนผู้รักประชาธิปไตยพร้อมสร้างความบันเทิงให้กับประชาชนที่มาร่วมงานกันอย่างคึกคัก โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ได้กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น หลายคนมีข้อสงสัยถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งที่เพิ่งประกาศมา ความจริงหลังการยึดอำนาจทุกครั้ง เมื่อมีการเลือกตั้ง ก็จะมีปัญหาเรื่องการแบ่งเขต เมื่อมีการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 ได้มีการเขียนรัฐธรรมนูญ 2550 หลังฉีก รัฐธรรมนูญ 2540 ไป ในรัฐธรรมนูญ 2540 นั้น มีการใช้ระบบวันแมนวันโหวตครั้งแรกในประเทศไทย ระบบบัญชีรายชื่อมีการนำมาใช้ครั้งแรกในประเทศไทย องค์กรอิสระก็มีครั้งแรกในประเทศไทย รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการใช้ได้เพียง 9 ปีเศษเท่านั้น ก็ถูกฉีก

“หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในการอธิบายความครั้งแรกหลังการรัฐประหาร ได้มีการอธิบายความถึงบันได 4 ขั้น นอกจากการยุบพรรคการเมือง การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ การทำให้พรรคแตก และก็เป้าหมายคือให้พรรคคู่แข่งขันได้รับชัยชนะ ได้มีการไปรื้อระบบวันแมนวันโหวตเป็นพวงเหมือนเดิม ระบบบัญชีรายชื่อเดิมก็ได้นำมาเปลี่ยนแปลง แบ่งเป็น 8กลุ่ม มีการจับรวมกลุ่มจังหวัดแบบแปลกประหลาด เป็นการออกแบบให้ฝ่ายเขาชนะการเลือกตั้ง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือแพ้เหมือนเดิม จนมาถึงการแบ่งเขตรอบนี้ มีการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว การแบ่งเขตการเลือกตั้งก็น้อยลงเหลือ 350 เขต อย่างไรก็ตาม มีวิธีแก้ไขกันได้หมด ถ้าพรรคการเมืองสู้เต็มที่ ทั้ง 350 เขต ไม่ว่าจะแบ่งเขตแบบใดก็ไม่มีผลทั้งสิ้น” ประธาน นปช. กล่าว

นายจตุพร กล่าวอีกว่า เราต้องมีความรู้เท่าทันเรื่องกฎเกณฑ์ แล้วต้องวางแผนว่าจะต้องชนะภายใต้กติกาแบบนี้กันได้อย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือว่า เราต้องเดินไปถึงวันเลือกตั้งให้ได้ ด้วยประเทศไทยไม่มีอะไรที่เชื่อได้ 100% ประเทศไทยเราต้องคิดทีละตอน ๆ ต้องคิดอย่างมีสติ มีความสุขุม เป้าหมายหลักวันนี้เราต้องเดินไปให้ถึงวันเลือกตั้ง เมื่อเดินไปถึงวันเลือกตั้งแล้วเราจะชนะกันอย่างไร หนทางจากนี้ไปยังมีอีกหลากหลายเรื่องราว ตนห่วงที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญถูกออกแบบมาแบบนี้ ตนจึงได้เสนอให้แต่ละฝ่ายมาพูดคุยตกลงกันก่อน คุยกันเพื่อกำหนดเป็นสัญญาประชาคม ปรากฎมีคนไปตีความคำของตนว่า ตนเปลี่ยนไป สนับสนุนเผด็จการหรือไม่ ตนบอกว่าถ้าไม่คุยกัน แล้วท้ายที่สุด 250 สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.รออยู่แล้ว ไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงถึง 250 เสียง แม้แต่พรรคเดียว รัฐธรรมนูญถูกออกแบบมาเช่นนี้ ถ้าไม่ตกลงกันว่า วุฒิสภาต้องทำตามเจตนารมย์ของสภาผู้แทนราษฎรนั้น บ้านเมืองมันก็ไปกันไม่ได้ แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะต้องไปสนับสนุนเผด็จการ จุดยืนทางการเมืองใครยืนอย่างไรก็ยืนอย่างนั้น

“นาทีนี้ไม่ง่ายสำหรับการเลือกตั้งเลย เป็นความลำบากที่สุด ไม่ง่ายเหมือนตอน พ.ศ.2554 มีความท้าทายมากกว่าเดิม อย่าคิดว่าเราชนะแน่ เพราะเราเคยพลาดมาแล้วตอนประชามติรัฐธรรมนูญ 2560 ครั้งนี้เขามีความละเมียดมากกว่าการเลือกตั้งคราวหลังการยึดอำนาจปี 2549 การเลือกตั้งปี 2535 ว่าหนัก ๆแล้ว ยังไม่สามารถเทียบกับวันนี้ได้เลย เพราะฉะนั้น พ.ศ.นี้ ประมาทอะไรกันไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าเราอย่ามาเสียสมาธิระหว่างกัน ที่ตนเคยพูด รวมกันยังไม่รู้ว่าจะชนะหรือเปล่า แต่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ภายใต้กติกาแบบนี้ เรื่องจิตใจ หัวใจเป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด ตอนนี้คดีของตนก็รอจ่ออีก 6 คดี เวลาเหลือน้อยจำกัด แล้วจะพาประเทศเราข้ามพ้นวิกฤตินี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าจะสยบยอม คดีก็ยังอยู่เท่าเดิม อีกสองวันตนก็ต้องไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาอีก 1 คดี เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่มีความจำกัดจำเขี่ย ฝ่ายประชาธิปไตยเราต้องมีจิตใจที่หนักแน่น คบกันมาขนาดนี้ ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ก็เกินไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุด คิด วิเคราะห์ กำหนดจังหวะย่างก้าว” นายจตุพร กล่าว