กรองกระแส / เส้นแบ่ง การเมือง คำประกาศ พลังประชารัฐ 2 แนวรบ 2 แนวทาง

กรองกระแส

 

เส้นแบ่ง การเมือง

คำประกาศ พลังประชารัฐ

2 แนวรบ 2 แนวทาง

 

แม้คำประกาศของพรรคพลังประชารัฐที่ว่าพร้อมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้งจะเป็นคำประกาศที่สังคมคาดหมายและรับรู้กันอยู่แล้ว

แต่ก็ถือว่าคำประกาศนี้คือการยอมรับอย่างเป็น “ทางการ”

ยอมรับว่า ที่นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมาดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค ยอมรับว่า ที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มาดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรค

เป็นเรื่องที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับการจัดตั้งและสร้างพรรคพลังประชารัฐขึ้นมาเพื่อเป้าหมายใดในทางการเมือง

ยิ่งเห็นรายชื่อนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรค ขณะที่นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งเป็นโฆษกพรรค

ขณะที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรค

ยิ่มแจ่มแจ้งจางปางในทางการเมือง

 

การก่อรัฐประหาร

รากฐานพลังประชารัฐ

 

อย่าได้แปลกใจหากจะมีอดีต ส.ส.คนหนึ่งซึ่งสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐออกมาแถลงว่า การทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

อย่าได้แปลกใจหากคณะผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐมีรากมาจาก “รัฐประหาร”

การเกิดขึ้นของพรรคพลังประชารัฐพร้อมกับการประกาศสืบทอดอำนาจ คสช. โดยสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป คือความแจ่มชัด

แจ่มชัดว่าเหตุใดพรรคนี้จึงได้ชื่อว่า “พลังประชารัฐ”

แจ่มชัดว่าไม่เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรารถนาที่จะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป หากแต่แจ่มชัดว่า นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค ก็ต้องการที่จะสานต่องานบริหารจากที่ทำมาแล้วอีกต่อไป

ความแจ่มชัดทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ความสงสัยของสังคมได้มีคำตอบอย่างเป็นทางการ หากแต่ยังเสนอคำถามต่อไปอีกว่า ประชาชนจะตัดสินใจอย่างไร

คำถามนี้ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 มีคำตอบ

 

ความแจ่มชัด การเมือง

แจ่มชัด พลังประชารัฐ

 

เส้นแบ่งอย่างสำคัญจากพรรคพลังประชารัฐ คือ เส้นแบ่งระหว่างพรรคการเมือง 2 กลุ่ม 2 แนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

1 คือพรรคที่เห็นด้วยกับ “รัฐประหาร” 1 คือพรรคที่ยืนไม่เห็นด้วยกับ “รัฐประหาร”

1 คือพรรคที่ร่วมงานกับคณะรัฐประหารคือ คสช.ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา 1 คือพรรคที่อยู่ตรงกันข้ามกับคณะรัฐประหารคือ คสช.

1 คือพรรค คสช.และพันธมิตร 1 คือพรรคตรงกันข้ามกับ คสช.และพันธมิตร

กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วก็คือ เป็นเส้นแบ่งระหว่างผลงานการบริหารงานของ คสช.ตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมากระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เป็นอย่างไร ประสบความสำเร็จอย่างรุ่งโรจน์หรือว่าสร้างปัญหาอย่างมากมาย

เส้นแบ่งนี้ง่ายเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะแยกจำแนกและตัดสินใจว่าจะเห็นด้วยกับพรรคการเมืองใด และไม่เห็นด้วยกับพรรคการเมืองใด

ในที่สุดแล้วก็คือ เห็นด้วยกับรัฐประหาร ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร

ในที่สุดแล้วก็คือ เห็นด้วยกับโครงสร้างและวิธีวิทยาในแบบเผด็จการ หรือเห็นด้วยกับโครงสร้างและวิธีวิทยาในแบบประชาธิปไตย

ในที่สุดแล้วก็คือ เลือก คสช. หรือไม่เลือก คสช.

 

2 แนวทาง 2 แนวรบ

มาจากความเป็นจริง

 

เหมือนกับแนวคิดเอาด้วยกับ คสช. ไม่เอาด้วยกับ คสช. จะเป็นการคิดประดิษฐ์สร้างขึ้นมาโดยบางพรรคการเมืองซึ่งเป็นคู่สัประยุทธ์กัน

ไม่ใช่เลย

แนวคิดที่แบ่งแยกเป็น 2 แนวทาง 2 แนวรบเช่นนี้มาจากสภาพความเป็นจริงนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา

โดยมีผลงาน ความสำเร็จ ความล้มเหลว เป็น “เดิมพัน”

เวลาจากเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมากระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 สามารถให้คำตอบได้เป็นอย่างดีว่า คสช.อันเป็นผลผลิตจากกระบวนการรัฐประหาร สร้างผลงานและสร้างความนิยมในหมู่ประชาชนได้กว้างขวางมากน้อยเพียงใด

  การพิจารณาของประชาชน และการตัดสินใจด้วยบัตร 1 ใบที่มีอยู่ในมือนั้นแหละคือคำตอบสุดท้ายอย่างเป็นจริง