จดหมาย / ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 2-8 พฤศจิกายน พ.ศ.2561

 

จดหมาย

 

0 นักการเมือง (1)

 

ก่อนถึง “ศึกเลือกตั้ง” 24 กุมภาพันธ์ 2562

คงมีการสาวไส้ซึ่งกันและกัน เหมือนสาดโคลนใส่กัน

เป็นที่อุจาดตาแก่ประชาชนแน่นอน

โดยเฉพาะผู้กล่าวหาเป็นต่อคือฝ่ายรุก ทำต่อผู้ถูกกล่าวหาเป็นรองคือฝ่ายรับ เพราะฝ่ายรุกกุมอำนาจรัฐไว้ ใกล้ชิดกับอภิสิทธิ์ อิทธิพล ผลประโยชน์

ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ทุกฝ่าย “เปลี่ยนสตึ เป็นสติ ผลิสตาร์…” เป็นดีที่สุด

ศึกเลือกตั้งจะได้บริสุทธิ์ ยุติธรรม ตามกติกาครับ

 

ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ฉาวที่สุด

ต่างอ้างพุทธแต่ใจไร้ธรรมบท

จ้องเอาเปรียบเหยียบกันเศร้ารันทด

ทรยศประชาธิปไตย

 

กรรมการผันสู่เป็นผู้เล่น

เหมือนกฎเกณฑ์หลงอำนาจทำบาตรใหญ่

งัดเล่ห์เหลี่ยมเสี้ยมเขาชนเข้าไป

ประเทศชาติเสียเท่าไหร่มิไยดี

 

มีตำแหน่งแห่งหนบนหัวเพื่อน

มากคำเตือนปล่อยปละละศักดิ์ศรี

เพราะรู้เช่นเด่นชัดทั่วปฐพี

ใช่หน้าที่ชนะแน่เห็นแก่ตัว

 

กติกาสาแหรกแยกยิบย่อย

ยิ่งกว่าฝอยขัดหม้อขอได้มั่ว

พูดมิออกบอกมิถูกผูกมิกลัว

ติดร่างแหพันพัวฆ่าตัวเอง

 

ประชาชนสนใจในสิทธิ

ร่วมตรองตรึกประจำอยู่คร่ำเคร่ง

ผู้ปกครองร้องรำเต้นตามเพลง

อวดฉลาด ฉันเก่ง ละเลงเละ

 

โอ้…ประชาธิปไตย “วัยแปดสิบเจ็ด”

น้ำตาเล็ดโดยใครรุมไล่เตะ

ซ้ำยี่สิบเอ็ดหนจนฟอนเฟะ

ให้เป๊ะเป๊ะแบบลายพราง …อย่างนั้นรึ

 

นักการเมืองเปรื่องปราดวาดฝันไว้

ทวงประชาธิปไตยหายหึหึ

ยกระดับเลิกน้ำเน่าเคล้าคร่ำครึ

เปลี่ยนสตึ เป็นสติ ผลิสตาร์

 

สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ

            กวีศรีอยุธยา

นักการเมืองเก่า หรือหน้าใหม่

            ไม่น่าห่วงสักเท่าไหร่ เพราะคนเหล่านี้มักฟังชาวบ้าน

            อะไรที่ส่อเสียคะแนน จะรีบถอย

            แต่ห่วงพวกที่คุณสมบัติ ตั้งก่อเกียรติ

            บอกว่าเป็น

            “กรรมการผันสู่เป็นผู้เล่น” มากกว่า

            เพราะคนเหล่านี้ไม่คุ้นชินการฟังชาวบ้านสักเท่าไหร่

            แถมมักจะใช้กฎเกณฑ์เอาเปรียบคู่แข่ง

            ทำให้การเลือกตั้งเบี้ยวๆ บูดๆ

 

0 นักการเมือง (2)

 

เรียนบรรณาธิการ

วาทกรรมของนักการเมืองอาจมีขึ้นได้ทั้งการเพื่อโปรโมตตนเองและกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม

ในต่างประเทศ วาทกรรมที่เป็นประวัติศาสตร์ได้แก่ “จากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน”

และ

“โปรดอย่าถามว่าประเทศนี้ให้อะไรกับท่าน แต่โปรดถามว่าท่านทำอะไรเพื่อประเทศของท่าน”

เคยมีนักการเมืองไทยพยายามจะสร้างวาทกรรมบ้าง แต่ไม่ติดตลาด

เช่น วาทกรรมในทำนองว่า

“รัฐบาลนี้ไม่สามารถทำให้ท่านร่ำรวยเสมอกันได้ แต่จะทำให้ท่านได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน”

ส่วนที่กล่าวหาฝ่ายตรงกันข้าม  ซึ่งอาจมีทั้งจริง และการสร้างสถานการณ์ ให้ร้ายป้ายสีกัน เช่น ระบอบทักษิณ ไทยนิยม เผด็จการรัฐสภา พวกเผาบ้านเผาเมือง ดีแต่พูด เป็นต้น

ที่ผมชอบที่สุดคือ วาทกรรมที่มีต่อรัฐบาลชุดที่ท่าน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ฤๅษีเลี้ยงลิง”

และกลายเป็นคำสาปแช่งให้พรรคที่ท่านเป็นหัวหน้า มีทั้งฤๅษีและลิงมาจนถึงปัจจุบัน

เห็นทีจะต้องทำบุญใหญ่ หลังพิธีสงฆ์ควรนำลิงไปปล่อยป่าเสียบ้าง พรรคที่กำลังตกต่ำจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ที่สำคัญที่สุด คือการยกระดับมาตรฐานของคุณธรรม

แม้คะแนนเสียงในท้องที่ อันเป็นเขตเลือกตั้งจะให้ความนิยมในตัวบุคคลผู้สมัคร ส.ส.

แต่ในภาพรวมของประชาชนทั้งประเทศกลับดูถูกดูแคลนกับพฤติการณ์ของลูกพรรคที่ผู้บริหารพรรคไม่สามารถควบคุมได้

จึงเป็นข้อสนับสนุนของคำว่าดีแต่พูด

เพราะเมื่อท่านไม่สามารถควบคุมดูแลให้ ส.ส. เด็กๆ ประพฤติดีมีคุณธรรมได้ แล้วท่านจะเข้ามาดูแลทั้งประเทศได้อย่างไร

และขอถามไปยังพรรคการเมืองทุกพรรคว่า ให้ ส.ส.ในสังกัด เหลียวหลังกลับไปดูที่มาว่าพ่อแม่พี่น้องที่มีส่วนลงทุนให้ท่านเข้ามานั่งในสภาได้นั้น เป็นเงินที่ได้มาโดยสะอาด หรือได้มาจากการกระทำความผิด

ขอบ่นเท่าที่พอจะคิดได้ในวันนี้ เท่านี้แหละครับ

  ปลง ปลอดสี

 

เรื่อง “เงิน” ของพรรคการเมืองที่ควร “สะอาด”

            ไม่มีอะไรขัดข้อง

            แต่จับให้ได้ไล่ให้ทันเถิด

            โดยเฉพาะพวกที่ชอบแอบเอาเงินหลวงไปหาเสียงนั้น

            เอาให้หนัก

            จับให้ดูทีเถิด-กกต.!