ในฐานะนักอนาคตวิทยา อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ เจ้าของหนังสือ Future Shock ทำนายไว้ตั้งแต่เมื่อทศวรรษที่ 1970 แล้วว่า

ในช่วง 3 ทศวรรษนับจากตอนนี้ถึงศตวรรษที่ 21

“คนที่มีจิตปกตินับล้านจะปะทะอย่างฉับพลันกับอนาคต” ใน อนาคตดังกล่าวนี้ ความตึงเครียดและความสับสนจะเกิดขึ้นเมื่อผู้คนต้องพบเจอกับความเปลี่ยนแปลง

“มากเกินไปในช่วงเวลาที่สั้นเกินไป”

การปรากฏขึ้นของบทเพลง “ประเทศกูมี” กำลังจะเป็นตัว อย่างหนึ่งของ “การเปลี่ยนแปลง” เพียงเวลา 4-5 วันก็ก่อยอดวิวถึง 16 ล้านวิว

ท่ามกลางข้อกล่าวหา”ทำร้ายประเทศ” ท่ามกลางเสียงก่นด่า

“ไล่ออกนอกประเทศ”

 

เมื่อนำเอาคำทำนายนี้ของ อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ มาสังเคราะห์ผ่านหนังสือ CRYPTOASSETS ทั้ง Chris Burniske และ Jack Tatar เห็นพ้องต้องกันว่า

มาจากพลังของ”เส้นโค้ง”การเปลี่ยนแปลงชนิดยกกำลัง

หมายความว่า ทุกๆปีจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้า แตกต่างจากอัตราการเปลี่ยนแปลงแบบเส้นตรง ซึ่งการ เปลี่ยนแปลงในอนาคตมีอัตราเดียวกับการเปลี่ยนแปลงในอดีต

แม้ในช่วงแรกๆและปีที่ 2 อัตราการเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ต่างกันมากนัก

แต่เมื่อขึ้นถึงปีที่ 7 การเปลี่ยนแปลงแบบยกกำลังจะพุ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ” ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของ “วิทยาศาสตร์สังคม” ล้วนหนีไม่พ้นไปจากเส้นโค้งของการเปลี่ยนแปลงที่มีอัตราเร่งเช่นนี้

โดยเฉพาะผลจาก”รัฐประหาร”เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

 

อย่าได้แปลกใจหากว่าคนในคสช. คนในทำเนียบรัฐบาลจะพยา ยามมองหา”กลุ่ม”และ”พรรคการเมือง”ที่อยู่เบื้องหลัง

ทั้งๆที่ความเป็นจริง”ประเทศกูมี”ได้เกิดขึ้นเอง

เกิดขึ้นจากการต้องอยู่ในสภาพการเมืองนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ต่อเนื่องมายังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษ ภาคม 2557

เพียงแต่ครานี้ปะทุมาจาก “ประเทศกูมี”เท่านั้น

นี่คืออารมณ์ในทางสังคมอันคั้น กลั่น ผ่านความรู้สึกของคนหนุ่มสาวแห่งสังคมแร็พ