เจนวิทย์ เชื้อสาวะถี : ปักธงอนาคต – “ธนาธร” ประกาศเดิมพัน “ปักธงทางความคิด”

เป็นเวลากว่า 8 เดือนแล้ว นับจากวันที่ 15 มีนาคม 2561 ซึ่งธนาธรได้ประกาศต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการถึงความมุ่งหวังจะปักธงอนาคตในสังคมไทย

เมื่อเดินสายพบปะกับประชาชน ธนาธรจะย้ำถึงการเมืองแบบใหม่ที่พรรคอนาคตใหม่พยายามสร้างขึ้นว่า “การชนะทางความคิดเท่ากับคะแนนเสียงในสภา” หรือ “อุดมการณ์กับคะแนนเสียงเป็นเรื่องเดียวกัน”

จะชนะทางความคิดได้ ก็ด้วยการ “ปักธงทางความคิด”

ธนาธรให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยถึงเหตุผลในการปักธงอนาคตว่า “สังคมไทยมีปัญหาหนักและเป็นวิกฤตรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ นับจากปฏิวัติสยาม 2475 เป็นต้นมา หัวใจของวิกฤตครั้งนี้คือการไม่มีฉันทามติว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ต่างจากสังคมตะวันตกที่มีค่านิยมเรื่องสิทธิมนุษยชน 1 คน 1 เสียงเท่ากัน เป็นประชาธิปไตย หล่อหลอมให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ ไม่เชื่อว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน”

ถ้าไม่มีฉันทามติร่วมกัน ในที่สุดสังคมไทยจะดำเนินไปสู่วิกฤต จึงจำเป็นที่จะต้องมีพลังใหม่ หรือผู้เล่นทางการเมืองใหม่ที่นำเสนอเส้นทางใหม่เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยให้กลับคืนมาอีกครั้ง

ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ประกาศตัวเป็นพลังใหม่ ที่จะนำความเชื่อมั่นกลับคืนสู่การเมืองระบบรัฐสภาอีกครั้ง

 

อคม.ไม่เอาสืบทอดอำนาจ คสช.

ธนาธรประกาศวาระก้าวหน้าต่อสาธารณชนหลายหนหลายเรื่อง

แต่ประเด็นที่กลายเป็นภาพจำหลักของพรรคอนาคตใหม่ (อคม.) คือ

ไม่ยอมรับการสืบทอดอำนาจ คสช.ทุกรูปแบบ

แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

ต้องล้มล้างผลพวงของคณะรัฐประหาร

เพราะนี่คือทางที่จะนำสังคมไทยกลับไปสู่ความเป็นปกติ

ธนาธรชี้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ร่างโดยผู้ที่ถูกแต่งตั้งจากรัฐบาลทหาร ไม่ได้ผ่านการฟังความเห็นของประชาชน แม้มีการลงประชามติก็เป็นไปอย่างไม่เป็นธรรม คนจำนวนมากที่รณรงค์โหวตโนถูกจับกุมคุมขัง หนักข้อที่สุดคือวางกลไกเพื่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีอำนาจที่แท้จริงในการบริหารประเทศได้

ส่วนคนที่กลัวข้อเสนอของอนาคตใหม่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับจะนำไปสู่ความวุ่นวายเหมือนในอดีต ธนาธรยืนยันในเรื่องนี้ว่า

“รัฐธรรมนูญโดยการรัฐประหารต่างหากที่นำมาซึ่งความเสียหายย่อยยับอันไม่อาจประเมินได้ แต่การรื้อรัฐธรรมนูญอันเป็นมรดกรัฐบาลทหาร ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยผ่านกระบวนการรับฟังความเห็น ไม่มีทางทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง”

 

ฝันใหญ่ #ไทย 2 เท่า

เมื่อให้นิยามตัวเอง ธนาธรจะบอกว่า ตัวเขาคือ “นักผจญภัย” ธนาธรบอกว่า “ผมชอบความท้าทาย และนี่คือความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด ก็คืออยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประเทศที่ดีขึ้น ส่งผ่านสังคมที่ดีกว่านี้ให้กับคนรุ่นต่อไป”

“แน่นอน มันอาจเป็นการยากที่จะเปลี่ยนประเทศไทย แต่ถ้าเกิดว่าฝันอะไรเล็กกว่านั้นผมก็ไม่ทิ้งธุรกิจมา ผมฝันใหญ่ ผมต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ” นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ธนาธรจัดเรียงลำดับความสำคัญของงานในชีวิตใหม่ อำลาเพื่อนร่วมทีมโครงการทรูเซาท์ การเดินทางไกลสู่ขั้วโลกใต้ ซึ่งความฝันของเขาต้องขยับออกไป ทั้งยังทิ้งธุรกิจที่ตัวเองบริหารอยู่ เพื่ออุทิศตัวให้การทำฝันใหญ่ให้เป็นจริง

ในฝันใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย หนึ่งในนั้นคือการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่แพร่กระจายไปทุกมิติของชีวิตคนไทย

“คนไทยต้องได้รับสิทธิและโอกาสที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะเกิดมาในครอบครัวแบบไหน ไม่ว่าคุณจะเติบโตในจังหวัดอะไร ไม่ว่าคุณจะมีเพศสภาพเป็นเช่นใด เราต้องยืนยันสิทธิและโอกาสของคนไทยที่เท่าเทียมกัน”

“เราต้องสร้างมาตรฐานบริการของรัฐและสภาพแวดล้อมของประเทศไทยให้เท่าทันกับโลก ต้องขีดเส้นไว้ให้ชัด ต้องยกระดับความเป็นไทย ให้เป็นไทยสากล เป็นประเทศไทยที่ทะยานไปอย่างเต็มศักยภาพ ไม่น้อยหน้าใครในเวทีโลก”

ร่วมกันสร้าง “ไทย 2 เท่า” เป็นไทยที่เท่าเทียมกัน และเป็นไทยที่เท่าทันโลก

 

จากนักฝัน ถึงวันลงมือ

เมื่อครอบครัว เพื่อนฝูง พนักงานในบริษัททราบข่าว พวกเขาแทบไม่แปลกใจ ทุกคนที่รายล้อมและได้มีโอกาสรู้จักธนาธร รู้ดีว่าวันหนึ่งธนาธรจะเดินมาถึงจุดนี้

สำหรับครอบครัว นี่อาจเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไป แต่ถึงที่สุดไม่มีใครคัดค้าน เพราะรู้ว่านี่คือเส้นทางที่ธนาธรต้องการจะทำจริงๆ ในชีวิต ถ้าพ่อไม่จากไป เขาคงอยู่บนเส้นทางสายนี้นานแล้ว

แต่แม้จะช้า ในความช้าคือการเปลี่ยนผ่านตัวตนของธนาธรให้พร้อมทำภารกิจที่ใหญ่ไปกว่านั้น ความสำเร็จของไทยซัมมิทคือบทพิสูจน์ว่าธนาธรจะสามารถสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย

รุ่นพี่ อมธ.คนหนึ่งที่รู้จักธนาธรร่วมสองทศวรรษ บอกว่า “เอกเป็นนักฝัน เขาพร้อมทั้งฐานะทางเศรษฐกิจ ความมุ่งมั่นใฝ่ฝัน ผมรู้ว่าธนาธรต้องมาทางนี้ ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง” กระทั่งเพื่อนกลุ่มวิศวะ มธ. ซึ่งไม่ค่อยได้ร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับธนาธรก็รู้ว่า “คิดแล้วว่า วันนี้ต้องมาถึง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเวลานี้เท่านั้นเอง”

เหมือนกับที่ผู้ใหญ่ในกลุ่มแรงงานซึ่งคบหากันยาวนาน เชื่อมั่นว่า “ถ้าธนาธรทำพรรค เชื่อมั่นได้ เพราะที่คบหากันมา เขาเป็นคนจริง”

 

เพื่ออนาคตที่ดีกว่า คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

ทุกวันนี้ธนาธรมีเวลาให้ครอบครัวน้อยลง “ผมแทบไม่มีเวลาให้ลูกๆ เลย กลับบ้านเขาก็นอนหลับหมดแล้ว ทำได้คือไปหอมแก้มก่อนนอนคนละที” อีกด้านหนึ่ง เดิมพันการเมืองครั้งนี้คือความเสี่ยงที่อาจตกมาถึงครอบครัว “ผมเป็นคนตรงไปตรงมา และวิจารณ์การทำงานของ คสช. ทำให้กลายเป็นแรงกดดัน บางทีไม่ลงที่ผม แต่ไปลงที่ครอบครัว ซึ่งไม่ยุติธรรม ผมขอฝากว่าหากจะทำอะไร ให้มากระทำที่ผม อย่ากระทำกับคนที่อยู่รอบข้างผม อย่าทำอะไรกับคนที่ผมรัก”

หลังรัฐประหารใหม่ๆ ธนาธรถูกเชิญไปปรับทัศนคติอยู่ 2-3 ครั้ง เขาปฏิเสธที่จะไป เพราะไม่ได้ทำความผิดอะไร “ผมก็ไม่ไป ถ้าอยากให้ไปก็เอาหมายมา ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เขาก็ไปเชิญแม่ผมแทน”

“ประธานสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” นางสิงห์เหล็กแห่งไทยซัมมิท ถูกเชิญไปพบผู้มีอำนาจ แทนลูกชายถึงสองครั้ง “คุณแม่ไปด้วยความเป็นห่วง พอไปเสร็จแกก็กลับมา ขอให้เราไป ก็ร้องห่มร้องไห้มา เราก็เลยต้องยอมไป”

คำเตือนที่ธนาธรได้รับจากผู้มีอำนาจในเวลานั้นคือ “อย่าทำอีก อะไรที่ยุ่งกับ คสช.”

นั่นคือความเสี่ยงที่ตกมาถึงครอบครัว กระทำกับลูกไม่ได้ ก็กระทำกับแม่แทน สำหรับการแตะต้องผู้เป็นแม่ ธนาธรประกาศไว้ชัดว่า “อย่าทำอะไรกับคนที่ผมรัก”

แต่สำหรับความเสี่ยงของตัวเอง เขาบอกว่า “หากเป็นไปเพื่ออนาคตที่ดีกว่า มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง”

 

ปักธงอนาคต

หนังสือชีวประวัติเล่มนี้เล่าถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตธนาธรอยู่ 3 หน

จากลูกนายทุนใหญ่ เด็กเที่ยวที่เกิดในชนชั้น 1% ของประเทศ เมื่อได้พบเจอกับเพื่อนและสภาพแวดล้อมใหม่ในรั้วธรรมศาสตร์ ธนาธรกลายเป็นนักกิจกรรมและนักฝัน

จากนักฝันที่อยากเป็น NGO ทำงานรณรงค์เพื่อเด็กและเยาวชน เมื่อผู้เป็นพ่อจากไป สถานการณ์บังคับให้ตัวเขาซึ่งเป็นลูกชายคนโต ก้าวสู่การเป็นนักธุรกิจ กุมบังเหียนอาณาจักรไทยซัมมิท

จากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก ด้วยยอดรายได้กว่า 8 หมื่นล้านบาท พร้อมด้วยการพาไทยซัมมิทไปปักหมุดฐานการผลิตใน 7 ประเทศทั่วโลก เมื่อสังคมไทยจมอยู่กับทศวรรษที่สูญหายยาวนาน ธนาธรทบทวนกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า “ผมคิดว่ามันจำเป็นต้องทำ เราไม่สามารถยืนอยู่เฉยๆ แล้วเฝ้าดูสังคมไทยล่มสลายไปต่อหน้าต่อหน้าได้อีกต่อไป” นั่นคือเหตุผลของประกาศปักธงอนาคต และก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

ชีวิตของธนาธรปักธงมาแล้วในหลายภารกิจ ก้าวข้ามขีดจำกัด เอาชนะเป้าหมายที่ยากและท้าทายมาได้หลายเรื่อง

ทั้งปักหมุดฐานการผลิตไทยซัมมิทในต่างแดน จนกลายเป็นบริษัทชั้นนำในระดับโลก

ทั้งปักธงในภูเขาสูงชัน ลูกแล้วลูกเล่าในชีวิตการผจญภัย

วันนี้ธนาธรกำลังทำ 1% ที่เป็นไปได้อีกครั้งในการปีนเขาที่สูงชันในทางการเมือง เพื่อไปปักธงทางความคิดที่ชื่อว่าประชาธิปไตย

“การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงสมรภูมิหนึ่งในสงครามทั้งหมด เราต้องปักธงทางความคิดที่ก้าวหน้าลงในสังคมให้ได้”

“ถึงเวลาปลดปล่อยศักยภาพประเทศด้วยมือของเราเอง อย่ารอการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของมัน”

นี่คือธงที่ธนาธรอยากปักไว้ให้สังคมไทย