เรื่องสั้น : แมวเถื่อน

หลิวเดินขึ้นบันไดช้าๆ ไม่ได้หยุดมองตัวเองในกระจกติดผนังแต่ละชั้น เธอลืมหยิบพัสดุจากกล่องฝากของหน้าประตูทางขึ้น ลืมน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอีกเกือบสองกิโลจากการทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง จนต้องกินข้าวคาหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่สองสัปดาห์โดยไม่ได้ออกไปวิ่ง

เธอรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงตัวเองฮัมเพลงที่ไม่มีความหมายออกมา มันไม่ใช่เพลงหรอก เป็นแค่เสียงที่เธอต้องการกลบเสียงความคิดที่อื้ออึงอยู่ในหัว แม้รู้ว่าไม่มีใครได้ยิน แต่เธอก็ยังทำอย่างนั้น

และจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อความคิดต่างๆ นานาได้เกิดขึ้นแล้วทุกครั้ง เรื่องที่คิดมักทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่สบายใจ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกผิดที่เผลอไปคิดอย่างนั้น หลายเรื่องเธอลืมเลือนและละเว้นโทษให้ตัวเองได้ แต่บางเรื่องกลับค้างคาเหมือนตะกอนก้นแก้ว ฉุกคิดขึ้นเมื่อไรก็เหมือนถูกกวนให้ขุ่นขึ้นมาเมื่อนั้น ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรผิดพลาด มันอาจเป็นของมันอย่างนั้นเองก็ได้

หลิวอีกคนปลอบโยนด้วยประโยคเดิมที่เธอไม่เคยเชื่อ มันอาจเป็นเพราะสายตาคมกริบที่จ้องมองแล้วหายวับไปในทันทีคู่นั้นก็ได้

หลิวชะโงกมองลงไปจากระเบียงดาดฟ้าชั้นหก ข้างล่างนั่น หลังคาโรงรถ กำแพง หลังคาระเบียงชั้นสอง ต้นมะม่วงริมรั้ว หลังคาบ้านข้างๆ ไม่มีแม้เงาของเจ้าแมวตัวนั้น มันคงซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ที่ใครเข้าไม่ถึง

มันเป็นแมวพื้นบ้านธรรมดาทั่วไป ตัวสีเทาพาดริ้วสีดำเส้นเล็ก ดูขะมุกขะมอม เธอเห็นมันตั้งแต่ครั้งแรกที่ย้ายเข้ามาเมื่อห้าเดือนก่อน เธอไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าแมวไม่มีชื่อตัวหนึ่งที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ มันจะกระโดดหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อมีเสียงเรียกหรือเสียงคนเข้าใกล้

มีร่องรอยความพยายามผูกมิตรเป็นอาหารแมวที่โรงรถ ปลาทูหนึ่งตัวบนกำแพง บ่อยครั้งหลิวเห็นนักศึกษาสาวห้องชั้นสองพยายามส่งเสียงเรียกและหลอกล่อมันด้วยอาหาร แต่มันกลับปีนหนีขึ้นต้นไม้ ไต่กำแพง หายไปบนหลังคาโรงรถ หรือไม่ก็นอนอาบแดดอยู่บนหลังคาบ้านข้างๆ

เธอเห็นมันได้ชัดเจนจากบนดาดฟ้า มันไม่มีอะไรให้จดจำเลยนอกจากลักษณะของแมวเถื่อนที่ฉายผ่านดวงตา นอกจากมันแล้วยังมีแมวสีเหลืองและแมวสีขาวแต้มดำ ที่ชอบแวะเวียนมากินอาหารที่วางไว้เสมอ พวกมันคุ้นเคยกับคนเป็นอย่างดี ทำให้ไม่นานพวกมันต้องมีอันหายหน้า หลิวเดาว่าคงมีใครเอาพวกมันไปเลี้ยงหรือไม่ก็ถูกหมากัดตาย แต่ข้อแรกดูมีเหตุผลและความเป็นไปได้มากกว่า

หอพักขนาดสามสิบกว่าห้องนี้เป็นหนึ่งในหอพักไม่กี่แห่งที่อนุญาตให้มีสัตว์เลี้ยง ตอนเช้าทั้งคนทำงานและนักศึกษาจะพาหมาของตัวเองลงมาปลดทุกข์ ตอนเย็นคนที่ขยันหน่อยจะพามันออกไปเดินเล่น หมาสี่ห้าตัวนี้อาจทำให้แมวเถื่อนตัวนั้นไม่กล้าเข้าใกล้คนก็ได้

แม้ว่ามันจะเป็นหมาที่ดูเหมือนตุ๊กตาวิ่งได้ก็ตาม

หลิวกับวินเลือกเช่าห้องบนดาดฟ้าเพราะฟ้าที่กว้างเต็มสายตา มีทิวเขาทอดยาวอยู่ตรงหน้า ความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวคุ้มค่าพอแลกกับความร้อนไม่กี่ชั่วโมงในช่วงบ่าย

มีคนจากห้องอื่นขึ้นมาชมวิวในตอนเย็นบ้าง พอให้ได้ทำความรู้จักทักทายกัน เวลาเดินสวนกันจะได้ยิ้มให้หรือพูดคุยกันนิดๆ หน่อยๆ โดยไม่เคอะเขิน แต่คนที่จะทักทายกันก็ไม่ได้มีมากมายนัก ส่วนใหญ่จะเลยผ่านกันไป โดยเฉพาะนักศึกษาที่เปลี่ยนหน้าเข้า-ออกอยู่บ่อยๆ

“คนเดี๋ยวนี้เค้าไม่ทักทายกันหรือยังไง?” ชายวัยสี่สิบจากชั้นห้าถามด้วยความสงสัย จากการยิ้มให้แล้วไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ

ผู้คนของยุคสมัยจึงเป็นอะไรที่ยากจะคาดเดาได้ เช่น คู่รักเลสเบี้ยนที่เลี้ยงหมาตัวเล็กในห้องชั้นสี่ เมื่อหมาตุ๊กตาของทั้งคู่เห่าทักทายหรือวิ่งตามผู้เช่าคนอื่น เธอทั้งคู่จะแค่เรียกหมาของตัวเองกลับเข้าห้อง ไม่มีการยิ้มแย้มทักทายหรือปฏิสัมพันธ์ใดมากกว่านั้น

ใครบางคนเล่าว่า ทั้งคู่เป็นลูกคนมีฐานะพอสมควร คนที่เป็นทอมเรียนปริญญาตรีใบที่สอง คงเรียนจบปีนี้ ด้วยอายุที่มากกว่านักศึกษาวัยเดียวกัน หรืออาจเป็นเหตุผลอะไรอื่นที่ไม่มีใครรู้ ที่ทำให้เธอวางตัวเช่นนั้น

นอกจากนักศึกษาแล้วยังมีคนทำงานบริษัท พนักงานห้างสรรพสินค้า คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวกับลูกชายวัยประถมคู่หนึ่ง และแม่บ้านชาวไทใหญ่วัยกลางคน แทบทุกวันนางจะขึ้นมากวาดดาดฟ้า เช็ดถูระเบียงทุกชั้น นางอัธยาศัยดี พูดจานอบน้อม ชอบอ้างบุญกรรมตามประสา ได้พูดคุยถามไถ่กันบ้างตามสมควร พอหายเหนื่อยนางจะลงไปทำความสะอาดชั้นถัดไป

หลิวและวินจะกลับมาทำงานออกแบบบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อ รอความเบื่อหน่ายให้เต็มที่ถึงขีดสุดถึงจะออกไปวิ่ง ไปเดินเล่น ถ้างานเร่งก็จะเดินออกมามองฟ้าแค่หน้าห้อง หากวันไหนมีธุระต้องออกไปตั้งแต่เช้าหรือบ่ายก็จะกลับเข้าห้องอีกทีในตอนค่ำ

บ่ายหนึ่งในปลายฤดูฝน ผู้เช่าหน้าใหม่คนหนึ่งเดินสำรวจมาถึงชั้นดาดฟ้า วันนั้นท้องฟ้ายังเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆขาวตัดกับฟ้าสีครามสดใส หลิวได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนไปมาอยู่ด้านนอก จึงเปิดประตูออกไปดู เพราะปกติไม่ค่อยมีใครขึ้นมาเวลานี้

เธอทักทายตามปกติ เอาผ้ามาตากข้างบนนี้ได้นะ เราขึงเชือกไว้แล้ว ติดกิ๊บดีๆ หน่อยเดี๋ยวปลิวหาย โน่น ตกบนหลังคาโน่นก็มี

เธอเจื้อยแจ้วเป็นกันเองอยู่พักหนึ่ง

ใครน่ะ?

วินถามทั้งที่ตายังจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์

อ๋อ… คนมาใหม่น่ะ อยู่ชั้นสอง พูดน้อยผิดวิสัยกะเทยทั่วไปนะ

เธอบอกเล่ากับวินหลังจากผู้มาใหม่เดินลงไปแล้ว หลิวเคยมีเพื่อนกะเทยอยู่สองสามคนตอนเรียน ม.ปลาย เป็นพวกวี้ดว้ายเฮฮาตลอด

วินแย้งว่าไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนกันนี่ ผู้หญิงยังไม่เหมือนกันหมดเลย ผู้ชายยังมีตั้งหลายประเภท กะเทยก็ต้องหลากหลายสิ

บทสนทนาพาพวกเขาไปไกลจนลืมเรื่องผู้มาใหม่ จำได้อีกครั้งเมื่อตอนเดินสวนกัน ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้ เพิ่มคำทักทายในแต่ละครั้ง

ชีวิตค่อยๆ เปิดเผยตัวเองอย่างเงียบเชียบ

ในความเป็นปกติวิสัย ในท่าทีง่ายดายเป็นธรรมชาติ เราทุกคนล้วนถูกประเมินค่า

หลิวรู้สึกได้ทันทีที่ถูกจับจ้อง ขณะรออาหารตามสั่งที่ห้องแถวชั้นเดียวหน้าหอพัก ป้าคนทำอาหารรู้ว่าเธอกับวินเช่าห้องบนดาดฟ้า ห้องที่ไม่มีใครเช่ามาหลายปี

เธอสังเกตเห็นการถูกสังเกต ความสงสัยในอาชีพการงาน การสำรวจเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ไม่เคยมีเครื่องแบบพนักงาน “คนประเภทไหนที่ไปอยู่บนนั้น”

ชั่วขณะของการประเมินค่า เธอเห็นสายตาเหยียดหยาม เช่นเดียวกับสายตาของคู่รักเลสเบี้ยนผู้ไม่เคยยิ้มให้ใคร แม้แต่เพื่อนฝูงของเธอที่มาเที่ยวเล่น มากินเบียร์ ล้วนถูกประเมินค่าแทบทั้งสิ้น

หลังจากรถตู้ของลูกค้าผู้จ้างทั้งคู่ไปลงพื้นที่เก็บข้อมูลและถ่ายภาพมารับ-ส่งหน้าหอพักหลายครั้ง หลังจากจดหมายลงทะเบียนจากบริษัทที่จ้างงานส่งมาถึงตามที่อยู่ใหม่

บ่อยครั้งร้านขายของชำห้องแรกจะเป็นผู้รับแทนหากเจ้าของหอพักไม่อยู่ แม้ไม่ได้สนใจใส่ใจ แต่ทั้งคู่ก็รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของป้าร้านอาหารตามสั่ง

แกยิ้มแย้มทักทายดีกว่าเคย แต่แกยังปรายตามองและบิดริมฝีปากตามหลังหญิงสาวผิวคล้ำและฝรั่งวัยกลางคนที่มากินข้าวร้านแกเป็นประจำ

ซ้ำยังแสดงออกอย่างเปิดเผยเหมือนหลิวกับวินเป็นพวกเดียวกับแก เห็นแล้วคิดเหมือนกับแก ทั้งคู่สรุปว่าคงเพราะป้าแกไม่มีผัว ลูกสาววัยใกล้สี่สิบก็ยังอยู่บนคาน วันๆ แกได้แต่ผัดกะเพรา ทอดไข่ดาว ผัดข้าวผัด วนไปเวียนมา หมุนซ้ำอยู่แค่นี้ ชีวิตที่น่าเบื่อทำให้ป้าแกต้องหาเรื่องมาขบคิดนินทา

ป้าร้านอาหารตามสั่งชั้นหนึ่งก็เป็นฝ่ายถูกประเมินค่าจากคนหนุ่มสาวที่มองลงมาจากชั้นดาดฟ้าเช่นกัน

เสื้อเชิ้ตสีดำปักชื่อและโลโก้ร้านอาหารแขวนตากไว้บนราวตั้งแต่เช้า กะเทยจากชั้นสองผู้เป็นเจ้าของขึ้นมาเก็บตอนบ่าย เธอทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้ เข้างานตอนบ่ายสาม เลิกงานตอนหลังเที่ยงคืน

อ๋อ ร้านนี้นี่เอง ผ่านบ่อย ใช่ขับมอเตอร์ไซค์แค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว ทำมานานรึยัง? จะครบสามเดือนละ

บทสนทนาง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่เจาะลึก เพียงพอสำหรับการทำความรู้จักกัน

เพื่อนๆ ของหลิวบอกว่า คนส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไหร่หรอก คนห้องข้างๆ ยังไม่รู้จักกันเลย คนเราเดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ที่ไหน พวกแกอยู่บ้านเช่าจนชิน คนแก่ใจดีอย่างบ้านที่แกเคยเช่าไม่ค่อยมีหรอก พวกแกไม่ค่อยได้อยู่หอเลยไม่คุ้น อีกหน่อยก็ชินเอง

หลิวพยักหน้ารับคำแนะนำยืดยาวของเพื่อน ในใจคิดว่าเพื่อนแต่ละคนกลายเป็นพวกขี้ระแวงไปตั้งแต่เมื่อไหร่

จู่ๆ มันก็โผล่เข้ามา ผู้อยู่ใหม่ย้ายเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ไม่มีการบอกกล่าวและขนย้ายข้าวของให้วุ่นวาย ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าอีกต่างหาก แค่ไม่กี่วันที่มันปรากฏกาย

ใครๆ ก็รู้จักมันไปทั่ว เจ้าแมวสีขาวตัวนั้นโผล่หน้าไปห้องนั้นทีห้องนี้ที มันเดินเล่นนั่งนอนอยู่แถวระเบียง หลายห้องเริ่มมีจานอาหารแมววางอยู่หน้าห้อง บางคนเอามาวางไว้ที่ระเบียง แม่บ้านต้องเก็บกวาดอาหารเม็ดที่กระจัดกระจายไปทั่ว เพิ่มขึ้นจากเส้นผม เศษขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากบางห้องที่แค่กวาดให้พ้นห้องตัวเอง นางไม่ได้ปริปากบ่น แค่ถอนใจบ่อยครั้งเท่านั้น

แล้วเจ้าแมวตัวนั้นก็ขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้า มันเดินสำรวจอย่างใจเย็น หลิวแกะปลากระป๋องแบ่งให้ แต่มันแค่ดมๆ แล้วเยื้องย่างจากไป เธอคิดว่าคงเพราะมันมีอาหารมากมายให้มันเลือก มันจึงกลายเป็นแมวที่เลือกได้

ด้วยขนสีขาวดูสะอาดสะอ้าน นิสัยขี้เล่น คุ้นเคยคนง่าย ประตูห้องที่เคยปิดมิดชิดเริ่มเปิดแง้ม วางจานอาหารล่อให้มันเข้าไปในห้อง มันเข้าไปนอนเล่นห้องนั้นห้องนี้เหมือนเป็นอาณาจักรของตัวเอง

ไม่นานมันก็มีชื่อเรียก นมจืด มะลิ สำลี ฯลฯ แล้วแต่ใครจะเรียก

มันกลายเป็นแมวขวัญใจคนในหอพัก จนซากหนูที่ถูกกัดไส้ทะลักกองเกลื่อนบนบันไดชั้นสาม รอยเลือดและเศษซากเกลื่อนเป็นทางยาว น่าสะอิดสะเอียนจนใครบางคนต้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาปิดไว้ระหว่างรอแม่บ้านมาเก็บกวาด ก็ไม่อาจทำให้ขนสีขาวของมันแปดเปื้อนได้

ใครๆ ต่างปักใจเชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของเจ้าแมวเถื่อนว่องไวตัวนั้นแน่ เพราะมันเป็นแมวหิวโซ ไม่มีเจ้าของ ผิดกับแมวสีขาวที่ทุกคนรักใคร่ แม้ว่าความเป็นไปได้ของแมวทั้งสองตัวจะเท่ากันก็ตาม

พี่เห็นสำลีมั้ยคะ? นักศึกษาสาวคนเดิมกระหืดกระหอบมาถึงชั้นดาดฟ้าถามหาเจ้าสำลีแมวของเธอและแมวของคนอื่นๆ

สาวออฟฟิศชั้นสี่ เล่าให้ฟังในยามเย็นบนชั้นดาดฟ้าว่า เจ้าสำลีมันชอบแวะเวียนไปที่หอสีฟ้าติดกันนี่ เจ้าของร้านซักรีดเห็นเข้าเลยถูกใจ ป้อนข้าวป้อนน้ำกันอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครเป็นเจ้าของ เขาเลยพามันไปเลี้ยงที่บ้าน พามันไปทำหมัน ฉีดวัคซีนเรียบร้อยเลยนะพี่

เธอยังพร่ำบ่นอาลัยอาวรณ์ถึงแมวตัวนั้นก่อนที่อีกไม่นานเธอจะลืมเลือน เมื่อมีเรื่องใหม่เข้ามาในชีวิต

พื้นที่บางพื้นที่ เรารู้จักตัวตนของกันและกันได้น้อยเต็มที ต่างเก็บงำและเปิดเผยตนเองได้เท่าที่ต้องการ เส้นแบ่งที่ไม่มีใครมองเห็น แต่ชัดเจนพอที่จะไม่ก้าวล่วง

บันไดหอพักและโรงจอดรถเป็นที่ที่คนในหอได้พบเจอกันมากที่สุด แม้จะแค่ไม่กี่นาที

บนดาดฟ้าที่กว้างเท่าหอพักทั้งชั้นกลับเป็นที่ที่ใครบางคนมานั่งมองฟ้า มองภูเขาอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง เธอคนนั้นบอกว่าวิวสวยดี ข้างบนนี้โล่ง มองภูเขาแล้วสบายใจ

หลิวจำคำพูดนั้นได้ น้ำเสียงฟังดูแปลกแปร่ง แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่แน่ใจว่าคืออะไร

บางครั้งหลิวต้องตกใจเมื่อเปิดประตูออกไปเห็นเธอคนนั้นนั่งนิ่ง ตัวตรงอยู่หน้าห้องเก็บของที่อยู่ติดกัน สายตาเหม่อมองไปยังภูเขา มือประสานกันวางไว้บนตัก

หลายครั้งหลิวไม่ได้ออกไปทักทาย เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเดินมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมหน้าห้องเก็บของ เธอคนนั้นนั่งมองฟ้าอยู่นาน หลิวรู้สึกถึงความคลุมเครือในดวงตาที่เสมือนว่างเปล่า แต่มันกลับฉายทั้งความสับสน หวาดหวั่น และอะไรต่อมิอะไรที่ยากจะคาดเดาได้

เธอคนนั้นไม่พูดมาก ไม่ตีสนิท มันเป็นการพูดคุยของคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน บางเรื่องราวบางถ้อยความก็เป็นไปตามมารยาทระหว่างกันเท่านั้นเอง

“เขาดูแปลกๆ นะ” วินตั้งข้อสังเกตหลังจากเธอคนนั้นเดินลงไปเงียบๆ

อื่อ… ดูแปลก หลิวพูดคุยกับกะเทยชั้นสองคนนั้นมากกว่าวิน ที่แค่ทักทายสั้นๆ หวัดดีครับ ไปทำงานแล้วเหรอครับ

หลิวรู้สึกว่าเธอคนนั้นเหมือนจมอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เหมือนถูกฉาบด้วยสีเทาหม่นของฤดูฝน มันทำให้เธออยากเข้าใจความรู้สึกนั้น

แต่วินกลับมองเห็นต่างออกไป เขามองเห็นสายตาวอกแวก หลุกหลิกและว่องไวที่มองลอดเข้ามาในห้องขณะหลิวพูดคุยด้วยอยู่หน้าห้อง เขาอาจคิดไปเองก็ได้ หรือเราจะกลายเป็นพวกขี้ระแวงเหมือนพวกนั้นไปแล้ว

ทั้งสองหัวเราะให้กับอาการวิตกจริตของตัวเองเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่มันก่อตัวขึ้นมาแล้วจริงๆ อย่าไปคุยอะไรให้มากนักนะ หลิวรับปากด้วยการพยักหน้าน้อยๆ เธอรู้สึกไม่ดีนักที่วินคิดอย่างนั้น ความรู้สึกขุ่นมัวผุดขึ้นปะปนกับความสงสัย

“แก…ห้องฉันโดนงัด!” น้ำเสียงละห้อยอย่างคนใจเสียถึงที่สุดของแหวว เพื่อนซี้ขี้ระแวงดังจากลำโพงโทรศัพท์มือถือ

หลิวกับวินชะงักมือที่กำลังลากเม้าส์ พักงานตรงหน้าออกไปหาแหววในทันที ทั้งคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป กล้องถ่ายรูปและเลนส์ทั้งชุด เงินแบงก์ในออมสินหายไป มีผู้ร่วมชะตากรรมอีกสี่ห้าคนในหอพักเดียวกัน ตำรวจมาเก็บหลักฐานไปแล้ว

แม้อยากได้ของคืนแต่ทุกคนรู้ดีว่าเป็นเรื่องยาก เรื่องคงเงียบเหมือนกรณีของหายอื่นๆ ขนาดรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ยังไม่เห็นมีใครได้คืน แหววจะย้ายออกทันทีที่หาหอพักใหม่ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งคู่คิดหนัก เดือนหน้ามีโปรแกรมลงพื้นที่ทำงานต่างจังหวัด เจ้าของหอพักยืนยันว่าที่นี่ไม่เคยมีเรื่องลักขโมย หอนี้ปลอดภัย ไว้ใจได้

“ล็อกประตูดีละนะ” หลิวถามย้ำ

เอามือดันประตูอีกครั้งให้แน่ใจ กระจกบานเกล็ดปิดเรียบร้อย ข้าวของถูกเก็บไว้ในที่ที่คิดว่าปลอดภัย วินห่วงกีตาร์ตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อ บนนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดเหมือนชั้นอื่น เขาจำเป็นต้องพกความกังวลไปทำงานด้วย คำยืนยันของเจ้าของหอพักไม่อาจแบ่งเบามันได้มากนัก

แค่สัปดาห์เดียวเอง วินบ่นงึมงำ

ไม่ได้พูดกับใครนะว่าไม่อยู่ วินถามย้ำ

อื่อ…ไม่ได้พูดนะ หลิวแน่ใจว่าเธอไม่ได้พูดกับใคร

ยกเว้นเจ้าของหอพักกับแหววเท่านั้น

ห้องดูปกติ ข้าวของทุกอย่างยังอยู่ดี ทั้งคู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ต่างช่วยกันเปิดม่าน ปัดกวาดทำความสะอาดห้อง นั่งดูอาทิตย์ตกดิน ชวนเพื่อนมากินข้าว เร่งทำงานส่งลูกค้า ออกไปวิ่ง ไปพบปะสังสรรค์ ความหวาดระแวงจางหายไปเช่นที่ไม่เคยมีก่อนหน้านี้ ชีวิตเป็นปกติอย่างที่มันควรจะเป็น แต่กลับมีบางอย่างผิดปกติไป

กะเทยชั้นสองคนนั้นไม่ได้ขึ้นมามองฟ้ามองภูเขาเหมือนเช่นเคย เวลาเดินสวนกันก็หลบหน้าหลบตาเหมือนไม่อยากทัก

ความเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนมาก หลิวคิดทบทวนหลายครั้งว่าเธอได้ทำอะไรผิดไปหรือไม่

เรื่องนี้ทำให้เธอไม่สบายใจ ดวงตาหวั่นๆ คู่นั้นคอยแต่หลบตา การตอบรับห้วนสั้น เสียงแข็งเหมือนเลี่ยงไม่ได้ ร่างสูงเก้งก้าง ก้าวยาวเดินเร็วเหมือนกลัวเธอจะตามทัน

ห้องชั้นสองริมบันไดยังปิดม่านปิดไฟ มีรองเท้าแตะฟองน้ำหนึ่งคู่วางอยู่หน้าห้อง อีกคู่เป็นรองเท้าคัตชูสีดำใช้ใส่ทำงาน เธอจำได้

หลิวคิดถึงผู้ใช้ชีวิตในนั้น ในห้องที่ดูโล่ง ไม่มีข้าวของอะไรเกินจำเป็น เธอเคยแอบสอดส่ายสายตาสำรวจอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าที่ขึ้นเอามาตาก ส่วนใหญ่ก็เป็นชุดทำงาน

กะเทยคนนั้นเคยบอกหลิวว่าที่ต้องเข้างานเร็ว เพราะนอกจากเสิร์ฟอาหารแล้วต้องช่วยงานครัวด้วย ก่อนหน้านี้ทำที่ไหน? เมื่อก่อนอยู่พัทยา เพิ่งมานี่ไม่กี่เดือนเอง

หลิวไม่ได้ถามต่อ เมื่อคุยกันถึงเรื่องบ้าน

“บ้านไม่มีละ ไม่มีใคร เหลืออยู่แต่ป้าคนเดียว แกอยู่ลำปาง” น้ำเสียงเรียบเฉย หางเสียงฟังดูแผ่วๆ

คำว่า “บ้านไม่มีละ” และ “ไม่มีใคร” ทำให้หลิวจุกที่ลำคอ รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เธอจินตนาการไปต่างๆ นานาถึงชีวิตของกะเทยชั้นสอง เรื่องราวที่บรรจุอยู่ในดวงตาหวาดหวั่น ไม่มั่นใจคู่นั้น บางครั้งก็ดูราวกับว่างเปล่าไร้หวัง โหนกแก้มสูงบนใบหน้ายาว และฟันที่ยื่นออกมานิดหนึ่ง ผมหยิกยาวรวบไว้ลวกๆ ใบหน้าไม่ได้แต่งแต้มสีสันเช่นที่ควรจะเป็นกัน ชีวิตนี้ผ่านอะไรมาบ้าง วัยเด็กเป็นอย่างไร คิดฝันอะไรกับชีวิตที่เป็นอยู่

หลิวครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยคิดถาม

แม้จะรู้จักกันเพียงผิวเผิน แต่ท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ทำให้หลิวอึดอัด ตีสีหน้าไม่ถูกเวลาพบเจอ ครั้นจะอ้าปากทักคำพูดก็ไม่อาจหลุดลอดออกมา มันไม่ได้มีผลกับชีวิตมากมายนัก ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่เพื่อนสนิท ไม่ใช่ผู้จ้างงาน เธอจะทิ้งขว้างหรือลืมมันไปก็ย่อมได้ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเรื่องของมนุษย์กับมนุษย์

หลิวบังเอิญเจอกะเทยชั้นสองในเย็นวันหนึ่ง เวลาที่เธอผู้นั้นควรทำงาน ไม่ทำงานเหรอวันนี้ หลิวถามพร้อมรอยยิ้ม

วันนี้ลามาเก็บของ จะย้ายออกสิ้นเดือนนี้

เงียบไปชั่วอึดใจ

อีกไม่กี่วัน

หลิวพูดกับตัวเองพยักหน้ารับช้าๆ ย้ายไปอยู่หอไหน? เธอถามต่อ

ว่าจะไปอยู่กับป้าที่ลำปาง น้ำเสียงตอบกลับยังเรียบเฉย

เออๆ อาๆ กันไปไม่กี่ประโยค ต่างแยกย้าย ไม่มีคำกล่าวลาง่ายๆ เช่น โชคดีนะ หรืออะไรทำนองนี้

เหตุการณ์สามัญผ่านไปในไม่กี่นาที

ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ขณะขับมอเตอร์ไซค์ออกปากซอย หลิวสวนกับใครคนหนึ่งซึ่งดูคุ้นตามาก กะเทยชั้นสองนั่นเอง หลิวเห็นเธอคนนั้นอีกหลายครั้งที่ร้านขายของชำ ตลาดนัด ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่เคยมองเห็นหลิวที่กำลังสงสัยว่า

เธอไม่ได้ไปอยู่กับป้าที่ลำปางหรอกหรือ หรือไปแล้วแต่มีปัญหาให้ต้องกลับมา หรือเรื่องย้ายไปอยู่กับป้าเป็นคำโกหก หรือกะเทยชั้นสองจะได้ยินเรื่องที่พวกเราคุยกันในวันนั้น

หลิวถามวินอย่างไม่แน่ใจนักกับเรื่องที่คาดเดา

ยามสายสองวันก่อนหน้าที่ทั้งสองจะไปต่างจังหวัด แหวว เพื่อนผู้โดนงัดห้องมาไม่ถึงสัปดาห์ กลายเป็นคนจิตตก ระแวงไปเสียทุกอย่าง แวะเข้ามาระบายความทุกข์ใจเรื่องขโมยที่เดากันว่าเป็นคนในหอพัก ชีวิตเราไม่มีความปลอดภัยเลย เราจะไว้ใจใครได้บ้าง ไม่ได้หรอก ขนาดคนที่สนิทสนมกันดี บางครั้งก็ยังไว้ใจไม่ได้เลย

หลิวเล่าเรื่องกะเทยชั้นสองที่ชอบขึ้นมาบนดาดฟ้าให้ฟังเหมือนขอความเห็น

แหววค้านทันทีว่าไม่ควรไว้ใจ คนพวกนี้แม้แต่เครื่องสำอางในห้างมันยังขโมยนะแก แกไว้ใจมันเหรอ ไปรู้จักมันมาแต่ชาติปางไหน เชื่อได้ยังไงว่ามันจะเป็นคนดี

แหววพูดด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านเหมือนระบายความคับแค้นใจของตัวเองมากกว่า

ฉันก็ไม่ได้ไว้ใจอะไรมากมายนักหรอกแก หลิวจำได้ว่าเธอตอบไปอย่างนั้น ไม่แน่ เธออาจไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเงียบเชียบที่เดินขึ้นมานั่งอยู่หน้าห้องเก็บของ ไม่แน่ กะเทยชั้นสองคนนั้นอาจได้ยินทุกอย่าง รู้ว่าเราระแวงเธอ

หลิวเอ่ยปากบอกวินหลังจากครุ่นคิดมาพักใหญ่ วินถอนใจก่อนบอกว่า เขาอาจย้ายเพราะจ่ายค่าห้องไม่ไหว หรืออาจย้ายไปอยู่กับเพื่อน ชีวิตเขาอาจมีเรื่องให้คิดเคร่งเครียดในช่วงนี้ก็ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนี่ ถ้าเราจะระแวงสงสัย

จริงๆ หลิวน่าจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย กะเทยชั้นสองคนนั้นก็หายหน้าหายตาจากแถวนี้ไปนานแล้ว แม้แต่ชื่อเธอยังจำไม่ได้ จำได้แค่ว่าอายุเท่ากัน

แต่ภาพกะเทยคนนั้นนั่งเหม่อที่สนามเด็กเล่น ศาลาริมทาง ใต้ต้นไม้ที่สวนสาธารณะใกล้ๆ แถวนี้ เป็นไม่กี่ครั้งที่หลิวพบเห็นก่อนจะหายหน้า ใบหน้ายังเรียบเฉย สายตามองตรงไปข้างหน้า มือประสานกันบนตัก มันไม่ใช่ลักษณะของการนั่งพักผ่อน แต่ดูคล้ายคนเหม่อลอย ปนเปด้วยความเคร่งขรึมและหดหู่ราวกับเงารางๆ ที่อาจเลือนหายไปเมื่อใดก็ได้

หลิวอยากรู้ว่าเธอคนนั้นกำลังคิดอะไร กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใด ถึงอย่างไรหลิวคงไม่มีทางได้รู้

ในเวลาชั่วพริบตา สายตาตื่นกลัว ไม่ไว้ใจใคร และระแวงระไวอย่างที่สุดของแมวเถื่อนตัวนั้นก็ประสานเข้ากับสายตาของหลิว

เพียงเสี้ยววินาทีที่ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกัน ก่อนที่มันจะกระโดดหายเข้าไปในพุ่มไม้ข้างโรงรถ

“มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนี่ ถ้าเราจะระแวงสงสัย” คำพูดของวินดังขึ้นในหัวอีกครั้ง

ใช่ มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

ขณะก้าวขาไปข้างหน้า โดยไม่รู้ตัว ปากเธอก็เปล่งเสียงเพลงที่ไม่รู้จัก เพลงที่ไม่เคยรู้ความหมายขึ้นมาอีกครั้ง