เผยแพร่ |
---|
ยิ่งการก่อป้อมค่ายตระกูล “พลัง” ขึ้นมากเพียงใดจากทางด้านของ”คสช.” ยิ่งทำให้เกิดป้อมค่ายตระกูล “เพื่อ” มากขึ้นเพียงนั้นจากทางด้าน “เพื่อไทย”
เพราะนี่คือสงครามอันมีลักษณะ”ยืดเยื้อ”
ยืดเยื้อตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กระทั่งหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
มีความพยายามยกคำว่า “สามก๊ก”ขึ้นมาอุปมา
เหมือนกับว่า 1 คือ ก๊กคสช. 1 คือ ก๊กเพื่อไทย และก็มีอีก 1 ก๊กอันแตกต่างไปจาก 2 ก๊กแรก
แต่เอาเข้าจริงๆภายในส่วนที่ 3 ก็หาได้แยกขาดจาก 1 หรือ 2
การดำรงอยู่ของพลังที่ 3 มิได้เป็นก๊ก หากแต่ดำเนินไปในเชิง เป็นพันธมิตรในแนวร่วมหากไม่ 1 ก็เป็น 2 มากกว่า
ขอให้ดูพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย ตลอดจนพรรคชาติพัฒนาเป็นตัวอย่าง
หินลองทองที่ดีมากคือ ประเด็น”รัฐประหาร”
ไม่ว่ารัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่ารัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ถามว่า 3 พรรคนี้มีท่าทีอย่างไร
เช่นเดียวกับ ขอให้ดูพรรคประชาชาติ พรรคอนาคตใหม่หรือพรรคสามัญชน เป็นตัวอย่าง
ถามว่ามีท่าทีอย่างไรต่อ “รัฐประหาร”
3 พรรคนี้เป็นอีกต่างหากจากพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน แต่ก็มีบทสรุปต่อ”รัฐประหาร” แตกต่างไปจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติพัฒนา
ท่าทีของพรรคประชาชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคสามัญชน ไม่เอากับ “คสช.”อย่างเด่นชัด
เท่ากับเป็น”พันธมิตร”ในแนวร่วมของ “เพื่อไทย”
ในที่สุดแล้ว สมรภูมิการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะคงเหลือเพียง 2 แนวอันเด่นชัด
นั่นก็คือ แนวเอากับคสช. แนวไม่เอากับคสช.
นั่นก็คือ แนวเห็นด้วยกับรัฐประหาร แนวไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร แนวเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ แนวไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ
ในที่สุดก็คือ แนวเผด็จการ กับ แนวประชาธิปไตย