23 ปีที่ผ่านมาของ ‘โย ยศวดี’ กับ 2 ปีที่ชีวิตเปลี่ยนขั้ว

23 ปีบนแคตวอล์กผ่านไป แม้ไม่ได้ไวเหมือนโกหก แต่โย-ยศวดี หัสดีวิจิตร คงรู้สึกเหมือนเราๆ ว่า แค่เผลอแป๊บเดียวระยะเวลาดังกล่าวก็ผ่านไป โดยปัจจุบันจะยังไม่ถึงขั้น “เลิก” แต่โยก็ว่า งานเดินแบบสำหรับเธอนั้น “นานๆ จะรับที”

เช่นเดียวกับงานแสดงที่เริ่มมี หลังจากหยุดพักไปนาน จากปัญหาเรื่องเสียง แต่ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้น

ที่ตัดสินใจห่างเหินจากงานเดินแบบ โดยประกาศชัดเจนเมื่อปี 2559 เธอให้เหตุผลว่าคงเพราะหมดไฟ

“ทำมาตั้งแต่อายุ 10 กว่า โยรับใช้ส้นสูง รับใช้แคตวอล์กมาเพียงพอละ”

“ตอนที่ทำงานนางแบบ 2 ปีสุดท้าย รู้สึกว่าไม่มีไฟแล้ว ลุกไปทำงานเหมือนตัวเองเป็นโรบ็อต ว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ไม่ได้มีใจ ไม่ได้มีความรักเหมือนสมัยแรกๆ”

เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงตัดสินใจว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง และต้องทำสิ่งอื่นบ้างเพื่อเติมไฟให้ตัวเอง

“อยากทำอะไรที่ตื่นเต้นและเติมไฟให้ตัวเองอีกครั้ง เลยเลือกมาวิ่ง”

แล้วพอวิ่งๆๆๆ จนร่างกายเข้าที่ ตัดสินใจลงแข่งมาราธอน ซึ่งพอผ่าน ก็มุ่งหน้าไปหาไตรกีฬา คือเพิ่มว่ายน้ำ จักรยาน เข้าไปในลิสต์ที่ “ต้องทำ”

“ซึ่งก็ทำทั้ง 3 อย่างสำเร็จในระยะเวลาแค่ 2 ปีกว่า” เจ้าตัวว่าพลางยิ้ม

ยังบอกด้วยว่า ในช่วง 2 ปีกว่าที่ว่า เป็นช่วงที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง

“ทุกวันนี้ใช้ชีวิตติดดินมากขึ้น ใช้เงินอย่างประหยัด และมีความหมายมากขึ้น” อดีตนางแบบคนดังบอกพลางยิ้ม

“ไม่เคยซื้อของแบรนด์เนมที่เปล่าประโยชน์ พยายามคิดว่าข้างในมันมีความหมาย พยายามกินดีอยู่ดี มีความสุขแบบชีวิตคนปกติ นอนหลับสนิท นอนเร็วตื่นเช้า มีเวลาให้ครอบครัว วันหยุดคือวันหยุด ไม่ต้องทำงานวันอาทิตย์ อยากไปแข่งก็แข่ง ไม่มีใครบังคับว่าต้องทำ”

ขณะที่ในด้านการเงินเพื่อยังชีพ นอกจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจำหน่ายแล้ว โยก็ว่าเธอมีรายได้ที่สนับสนุนในด้านกีฬาอยู่เหมือนกัน

แถมยังเป็นจำนวนที่เธอพอใจ

“เวลาเดินแบบเราได้เงิน 1 ครั้ง แต่พอมีสปอนเซอร์ ได้เงินก้อนเราก็เช็กว่าใน 1 ปีจะทำอะไรได้บ้าง เดินแบบเรารับมาชิ้นน้อยๆ แต่เราทำบ่อย แต่เล่นกีฬาโยรับครั้งเดียว 1 ปีมีสัก 10 สปอนเซอร์พอละ แล้วโยก็ใช้ชีวิตไป แข่งไป โดยเราใช้อย่างประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย เวลาไปแข่งต่างประเทศก็เหมือนโยได้ไปเที่ยวด้วย”

เพื่อจะให้เห็นภาพชัดเรื่องการใช้ชีวิตอย่างประหยัดและไม่ฟุ่มเฟือย โยก็เติมรายละเอียดว่า นอกจากการไม่ซื้อของแบรนด์เนมอย่างที่ว่า เธอก็งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาหลายปี ซึ่งแน่นอนก่อนหน้านี้เวลาไปดื่มแต่ละทีจะใช้เงินไม่น้อย

เล่าด้วยว่าตอนนี้เสื้อผ้าสวยๆ ที่มีเธอก็เก็บใส่กล่องไว้อย่างดี เช่นเดียวกับรองเท้า ซึ่งอย่างหลังนี้มีบ้างที่แบ่งปันให้คนอื่นนำไปใส่ ส่วนกระเป๋าแบรนด์เนมแม้ไม่หยิบมาใช้ ก็นำไปเก็บเช่นกัน

“มีคนบอกว่าบ้า ทำไมไม่ขาย หรือให้คนอื่นยืมใช้” เธอเล่าถึงถ้อยคำที่คนใกล้ๆ พูด พลางยิ้ม

อย่างไรก็ดี ได้แย้งพวกเขาไปด้วยเหตุผล “มันเป็นของที่เรารักนะ ไม่ใช้ก็อยากเก็บไว้”

“หลายปีมานี้โยใส่แต่รองเท้าผ้าใบ แต่เรียกว่าสบายตัว มีความสุข สุขภาพดีขึ้น ทั้งสุขภาพใจและกาย”

ในส่วนของ “แสงสี” ที่เคยได้รับ เธอก็ว่าทุกวันนี้ยังมีสิ่งเหล่านั้นอยู่

“เป็นนักกีฬาเราก็มีแสงสีในอีกมุมหนึ่ง”

ซึ่ง “คนที่ไม่ได้เป็นนักกีฬาคงไม่เข้าใจ เพราะวันนี้เรามีกลุ่มแฟนคลับอีกกลุ่ม เป็นกลุ่มที่คลั่งไคล้เรามากกว่าตอนเป็นนักแสดง”

ที่สำคัญคือ “ทุกคนรักและชื่นชอบเราที่เป็นเรา ขี่จักรยานผ่านมาตะโกนเรียกชื่อ ซึ่งรู้สึกว่าอันนี้เขาเรียกชื่อเราจริงๆ ไม่ได้เรียกจากภาพที่เห็น จากทีวี เขารู้จักตัวตนของเราจริงๆ มีคนที่มาขอถ่ายรูป คนที่แบกเงินเป็นแสนยืนรอ 2 ชั่วโมงข้างทาง เพราะเราปั่นจักรยาน เวลาไม่สามารถกำหนดได้ พอมาถึงก็มอบให้แสนหนึ่ง บอกว่าตั้งใจมามอบให้คุณโย” ถึงตอนนี้เจ้าตัวเล่าด้วยท่าทางที่ดูก็รู้ว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง

“เขาเห็นสิ่งที่เราทำมีคุณค่า เลยคิดว่าวงการนี้ก็มีเรื่องดีนะ ไม่ใช่มีแต่เรื่องไร้สาระ เรียกว่าเป็นวงการที่มีสาระมากที่สุดเท่าที่โยเคยอยู่”

“ตอนนี้โยอยากไปให้สุดของคำว่านักกีฬา ถามว่าอยากเป็นนักกีฬาอาชีพไหม อยาก อยากเป็นทีมชาติ ก็อยาก”

บอกอีกว่า ปัจจุบันนอกจากจะสนุกกับชีวิตแล้ว ยังรู้สึกด้วยว่า นี่คือ “ตัวเรา”

“วันนี้ถามว่าชีวิตมีความสุขไหม ก็มีความสุขกับการที่ตื่นมาแล้วคือตัวเรา นี่คือโย ยศวดี จริงๆ”

“อยู่วงการมา 20 กว่าปี วันนี้เป็นตัวเองมากที่สุดแล้ว”