อ่านประสบการณ์เลวร้าย! แท็กซี่เมืองไทย (บางคัน) ที่สุวรรณภูมิ

มนัส สัตยารักษ์ / พฤติกรรมเลียนแบบ

เขียนถึงแท็กซี่ไปเมื่อเมื่อสัปดาห์ที่แล้วดูเหมือนผมเล่าแต่แท็กซี่อารมณ์ดีและสุภาพเรียบร้อยทั้งสิ้น แต่ในความเป็นจริงผม (ก็ทำนองเดียวกับคนไทยทั่วไป) มีประสบการณ์ที่เลวร้ายกับแท็กซี่มาตลอดเวลามาเหมือนกัน

ผมเขียนถึงการเรียกแท็กซี่ว่า พยายามหลีกเลี่ยงพวกมี “อภิสิทธิ์” ใน ทอท. เพราะหลายคนในกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเป็น “มาเฟียอันธพาล” พร้อมกันนั้นได้เขียนเล่าประสบการณ์เลวร้ายเป็นหลักฐาน แต่เมื่อจะส่งต้นฉบับเห็นว่าค่อนข้างยาวจึงตัดส่วนนี้ออกไป

ประกอบกับเป้าหมายหลักในการเขียนครั้งกระนั้น ผมเพียงอยากจะเปรียบเทียบแท็กซี่อารมณ์ปกติดี กับใครบางคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวและหงุดหงิดบ่อยครั้งและมากกว่าแท็กซึ่เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะยกย่องแท็กซี่อารมณ์ดีแต่อย่างใด

แต่ก็บังเอิญว่าในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ใช้บริการแท็กซี่ผมพบแต่โชเฟอร์อารมณ์ดี จนเราเต็มใจทิปให้ด้วยความเห็นใจที่เขาต้อง “ขาดทุน” กับการจราจรติดขัด

แต่มาวันนี้พบข่าวกลุ่มแท็กซี่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง “ขู่” ว่าจะหยุดให้บริการ หากทางภาครัฐไม่ปรับบทลงโทษ (ฐานไม่กดมิเตอร์) ให้น้อยลง อีกทั้งขอเพิ่มค่าบริการจอดรถรับผู้โดยสารที่สนามบิน เพิ่มจากเที่ยวละ 50 บาทเป็น 100 บาท

พวกเขาขู่ว่าประชาชนอย่าคิดว่าเป็นพระเจ้า จะเดือดร้อนต้องเดินกลับเองเพราะไม่มีรถ

อธิบดีกรมการขนส่งทางบกสวนทันควันว่า มีแท็กซี่อยู่ในระบบกว่า 70,000 คัน ทอท. (บริษัทท่าอากาศยานไทย) สามารถประสานมาที่กรมการขนส่งฯ ซึ่งจะเข้าไปแก้ปัญหาได้ทันที

ประสบการณ์เลวร้ายหนแรกผมจำได้ว่า เกิดขึ้นเมื่อทางสนามบินสุวรรณภูมิเริ่มวางระบบและจัดระเบียบ “บริการแท็กซี่ ทอท.” ได้ไม่นาน ผม, น้องชาย กับบุตรสาวและหลานสาว เดินทางจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า (ดูเหมือนขณะนั้นยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อประเทศ) กลับกรุงเทพฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

เราทั้ง 4 คนลากกระเป๋าไปยังเคาน์เตอร์บริการรถสาธารณะ แจ้งความประสงค์และรอคิวตามระเบียบ พอขึ้นรถเรียบร้อยแล้วบุตรสาวของผมก็บอกปลายทาง…สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ผมจำไม่ได้แล้วว่าโชเฟอร์แท็กซี่แสดงความไม่พอใจก่อนหรือหลังออกรถ จำได้แต่ว่ามันช่างตรงกันข้ามกับโชเฟอร์แท็กซี่ชาวพม่าที่เราใช้บริการในย่างกุ้งตลอด 4 วัน แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน หรือราวหน้ามือกับหลังเท้าเลยทีเดียว

“ซวยฉิบ” เขาหลุดคำพูดทำนองนี้ออกมา

เรารู้ดีว่า ลาดกระบังไม่ไกลจากสนามบิน เขาแทบจะไม่ได้อะไรจากค่าโดยสาร และเราเข้าใจดีว่าเขาคาดหวังจะได้ผู้โดยสารเป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะไปพัทยาหรือหัวหิน หรืออย่างน้อยก็ใจกลางกรุงเทพฯ แถบสาทรหรือสีลม เขาคาดหวังจะได้ผู้โดยสารที่เขาสามารถจะโขกสับอย่างไรก็ได้

จนลืมไปว่าเขาไม่มีสิทธิที่จะสำรากคำว่า “ซวยฉิบ” ออกมาต่อหน้าผู้โดยสาร!

กลางปีที่ผ่านมา ผมและบุตรสาวไปหาดใหญ่-บ้านเก่า-ด้วยสายการบินราคาถูก ขากลับเราใช้เที่ยวบินสุดท้ายเพื่อไม่ต้องผจญกับปัญหาจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ มาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ 4 ทุ่มเศษ ออกจากทางเดินผ่านชานชาลาที่ค่อนข้างกว้างขวาง แทนที่ลูกจะพาพ่ออายุ 82 ไปยังจุดบริการรถสาธารณะใกล้ๆ เขากลับพาผมเดินเลยออกไปจนถึงถนน เพื่อรอเรียกแท็กซี่ขาจร

ผมไม่ท้วงติงแต่อย่างใด ลูกมีประสบการณ์การเดินทางด้วยสายการบินและบริการของสนามบินดี งานในหน้าที่ของเขาทำให้ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดและต่างประเทศบ่อยๆ

เรารออยู่ริมถนนตามลำพังแค่ 2 คน ไม่นานก็มีรถแท็กซี่แบบแวนคันหนึ่งมาจอดรับโดยใช้แท็กซี่มีเตอร์ตามปกติ แต่ 5 ทุ่มของกรุงเทพฯ รถยังพลุกพล่านแน่นถนน เราจึงบอกอนุญาตให้เขาเลือกเส้นทางเอาเอง อาจจะขับอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงบริเวณที่การจราจรติดขัดก็ได้ และเรายังคงจ่ายทิปตามที่ควรจ่าย

พอถึงบ้านผมถามลูกว่าทำไมต้องพาพ่อเดินไกลถึงขนาดนั้น

ลูกตอบว่า “แท็กซี่ในสนามบินดอนเมืองเคยบ่นใส่หน้า…รอตั้งนาน ไปแค่พัฒนาการ”

ในโลกนี้มีบุคคลจำพวกหนึ่ง ซื้อหวยแล้วไม่ถูกรางวัล เอาแต่ก่นด่าลงโทษคนขาย

คลิปข่าวคุณลุงแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 6648 ขับรถเอากระเป๋าสตางค์ที่ผู้โดยสารลืมหรือทำหล่นไว้ในรถมาคืนถึงบ้าน หลังจากเจ้าของกระเป๋าเป็นทุกข์อยู่ราว 1 ชั่วโมง ทำเอาเจ้าของกระเป๋าถึงแก่น้ำตาไหลพราก คนอ่านและดูคลิปข่าวก็พลอยตื้นตันไปด้วย

ปลาบปลื้มใจอยู่ได้ไม่นานก็ตามมาด้วยข่าวแท็กซี่ขี้โมโหรายหนึ่งไล่ผู้โดยสารลง

“กูไม่ไป กูขี้เกียจ มึงมีอะไรเหรอ” เสียงแท็กซี่โต้เถียงกับผู้โดยสาร

“พูดจาแบบนี้ร้องเรียนได้นะคะ”

“มึงมีเหี้-อะไร… มึงแจ้งเลย”

หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวคนขับแท็กซี่เข้ารายงานตัวต่อกองตรวจการขนส่ง กรมการขนส่งทางบก สารภาพว่าทำผิดจริง เพราะ… “ระหว่างขับรถไม่สามารถกลับรถได้ และเมื่อถอยหลังจะเลี้ยวเข้าซอย ปรากฏว่ามีรถมาก ใช้เวลานาน จึงให้ผู้โดยสารลง”

จากนั้นก็ลงไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ ไปเจอกับผู้โดยสารอีกจึงมีปากเสียงกัน

เจ้าหน้าที่ขนส่งสั่งปรับฐานแต่งกายไม่ถูกต้อง ไม่ส่งผู้โดยสาร แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ เป็นเงิน 3,000 บาท ส่งไปเข้ารับการอบรม 3 ชั่วโมง พร้อมคาดโทษไว้ว่า ถ้าทำผิดซ้ำอีกจะเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที

เรื่องราวและเหตุการณ์ข้างต้นเป็นเรื่องซ้ำซาก เป็นข่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่น่าเชื่อ โทษค่อนข้างสูง สำหรับคนที่ต้องทำงานโดยประกอบอาชีพสุจริต ดูราวกับคนไทยไม่ค่อยจะรู้จัก “ยับยั้งชั่งใจ” กันเลย พวกเขาอาจจะมีพฤติการณ์ “เลียนแบบ” ผู้นำบางคนโดยไม่รู้ตัว

ผู้นำที่ยังไม่เคยถูกลงโทษ ผู้นำที่ยังไม่ถูกส่งไปเข้ารับการอบรม 3 ชั่วโมง