ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กันยายน 2561 |
---|---|
เผยแพร่ |
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นอ้อน
จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ
เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์
ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย ฯ
จากนิราศอิเหนา ของสุนทรภู่
ถึงยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไห้
ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย
น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำชื่นอัมพร ฯ
จากพระอภัยมณี ของสุนทรภู่
ตัวอย่างกลอนสองบทของกวีเอกสุนทรภู่นี้ได้สำแดงลักษณะ “ดุริยศัพท์แห่งกาพย์กลอน” ครบถ้วนกระบวนความหมายดีที่สุด
ดุริยศัพท์คือสำเนียงเสียงดนตรีอันมีความเหลื่อมล้ำของสำเนียงเสียงกับจังหวะจะโคนประกอบเป็นลีลาทำนองไพเราะเพราะพริ้ง ดังทำนองลีลาของดนตรีกระนั้น
กลอนสองบทนี้มีทั้งเสียงและจังหวะสมบูรณ์พร้อม
ลองอ่านช้าๆ หรือจะอ่านออกเสียงก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงความไพเราะราวลีลาท่วงทำนองดนตรีดังกล่าว
กาพย์กลอนไทยแต่โบราณทุกประเภทล้วนสำแดงคุณลักษณะนี้ทั้งสิ้น คือลักษณะที่เป็นดุริยศัพท์ด้วยสำเนียงดนตรีที่มีทั้งเสียงและจังหวะพริ้งพรายไพเราะ
ลองฟังกาพย์ฉบังในสมุทรโฆษคำฉันท์ของสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรสสองบทนี้
๐ พิทยาธรทุกข์ลำเค็ญ ครวญคร่ำร่ำเข็ญ
บ่รู้กี่ส่ำแสนศัลย์
๐ ต้องศัสตราวุธฟอนฟัน กายายับยัน
แลเลือดก็หลั่งเล่ห์ธาร ฯ
กาพย์ฉบังสองบทนี้ แสดงจังหวะจะโคนชัดเจนเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับกาพย์ยานีเรื่องความเปลี่ยนแปลงของนายผีสองบทนี้
เลือดตัวแต่ปลายลำ แม่กลองไหลแลเป็นนาย
เลือดตูที่ต้นสาย บ่สำหรับจะดูแคลน
ลุกถอยบ่ลาไท ก็กระเทือนทั้งดินแดน
ทหารที่เฝ้าแหน ก็บ่อาจจะอวดหาญ ฯ
นี่ได้ทั้งจังหวะทั้งเสียงครบ
ลองฟังกาพย์สุรางคนางค์จากเสือโคคำฉันท์ของพระมหาราชครูบทนี้ดู
๐ ส่วนโคครั้นเช้า
เลียโลมลูกเต้า ให้กินนมนาง
แล้วสั่งสอนบุตร รักษากันพลาง
ยามเย็นจักวาง มาสู่สองสมร ฯ
นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงจังหวะคำด้วยจำนวนคำสี่คำในแต่ละช่วงวรรค โดยมีสัมผัสรับ-ส่งเป็นช่วงๆ ไป
จังหวะคำนี้อาจดูได้ในคำฉันท์ต่างๆ ที่กำหนดจังหวะด้วยครุ-ลหุ คืออักษรหนักเบา ดังเช่นวสันตดิลก ซึ่งมีวรรคแรกแปดคำ วรรคสองหกคำ ตัวอย่างเช่น
ฝนตกวิตกอุทกภัย จะประลัยประลาญรอน
ไร่นาวินาศและพระนคร ก็ละลาย ณ สายชล ฯ
บทกวีที่แสดงเสียงคือความเหลื่อมล้ำของเสียงอักษรเป็นสำคัญ นั้นคือโคลงอันมีเสียงสูง-ต่ำกำหนด ดังโคลงกำศรวลศรีปราชญ์บทท้ายสุดคือ
๐ สารนี้นุชแนบไว้ ในหมอน
อย่าแม่อย่าควรเอา อ่านเหล้น
ยามนอนนาฏเอานอน เป็นเพื่อน
คืนค่ำฤๅได้เว้น ว่างใด ฯ
นี้เป็นลักษณะโคลงดั้น ซึ่งกำสรวลศรีปราชญ์เป็นลักษณะโคลงดั้นบาทกุญชร โคลงอ่านง่าย คือโคลงนิราศนรินทร์ เป็นโคลงสี่สุภาพ ให้เสียงไพเราะนัก เช่น
๐ อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤๅ
สิงหาสน์ปรางรัตน์บรร-เจิดหล้า
บุญเพรงพราะหากสรรค์ ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง ฯ
หรือโคลงกรมพระปรมานุชิตชิโนรสในลิลิตตะเลงพ่าย เช่น
๐ อุรารานร้าวแยก ยลสยบ
เอนพระองค์ลงทบ ท่าวดิ้น
เหนือคอคชซอนซบ สังเวช
วายชิวาตม์สุดสิ้น สู่ฟ้าเสวยสวรรค์ ฯ
บทโคลงแทบทั้งหมดกำหนดเสียงเป็นสำคัญจำเพาะที่บังคับเอกโท นั่นแหละเป็นหลักสำคัญ ผู้ชำนาญโคลงจะรู้วิธีเล่นเสียงพิเศษนอกบังคับได้อีกด้วย
ตรงนี้ถือเป็น “เคล็ดโคลง”
เสียงกับจังหวะนี้เป็นหัวใจของดนตรีที่กำหนดทำนองให้ไพเราะ ซึ่งจะว่าไปก็เป็นหัวใจของศิลปกรรมทั้งปวงด้วย นอกจากกาพย์กลอนแล้วยังมีอยู่ในนาฏลีลาหรือนาฏกรรม มีในจิตรกรรม สถาปัตยกรรมด้วย เพียงแต่เรียกชื่อต่างออกไปเท่านั้น
เช่น ในจิตรกรรม ความเหลื่อมล้ำของเสียงก็คือโทนหรือน้ำหนักของแสงสีเงา จังหวะก็คือคอมโพสิชั่นหรือการจัดองค์ประกอบภาพนั่นเอง
ในสถาปัตย์ เสียงคือมิติของการกินที่ในอากาศ จังหวะคือทรวดทรง ประติมากรรมก็เช่นเดียวกัน
นาฏกรรมนั้นชัดเจนด้วยมีดนตรีประกอบ จังหวะคือท่าทาง เสียงหรือความเหลื่อมล้ำคือการเคลื่อนไหว เป็นต้น จำเพาะกาพย์กลอนก็เป็นดังกล่าว คือเสียงอักษรกับจังหวะของช่วงคำอันกำหนดด้วยสัมผัสและวรรคตอนของช่วงคำ
ภาษาไทยมีทั้งสองลักษณะนี้อยู่ครบ คือมีเสียงกำหนดด้วยพยัญชนะและวรรณยุกต์ จำแนกเป็นห้าเสียงตายตัวคือ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ส่วนจังหวะก็มีกำหนดด้วยช่วงวรรคตอนกับสระกำกับ
ลองกลับไปอ่านกลอนสุนทรภู่สองบทข้างต้นดูเถิด จะสัมผัสได้ถึงความไพเราะของเสียงคำและจังหวะจะโคนของถ้อยคำโดยอัตโนมัติ ที่แม้ไม่รู้ฉันทลักษณ์เลยก็ยังรู้ได้ด้วยรสของดุริยศัพท์อันบรรสานอยู่ในบทกลอนนั้น
นี้คือรูปแบบอันเป็นอัจฉริยลักษณ์ของภาษาไทยโดยแท้ ฉะนั้น จึงสมแล้วที่ ม.จ.จันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี หรือ พ.ณ ประมวญมารค เปรียบไว้ว่า
กาพย์กลอนคือการร่ายรำของภาษา