อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ชีวิตาในโลกใหม่ (2) เทศะแห่งอาณานิคมและกาละของผู้ปกครอง

ปลายศตวรรษที่สิบห้านั้นเป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงในประเทศสเปน โดยเฉพาะในแง่ของสังคมและประชากร

สงครามหลายร้อยปี หรือ Hundred Years War ที่เป็นความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์อังกฤษและราชวงศ์ฝรั่งเศสซึ่งพ่วงพันธมิตรในแต่ละฝ่ายรวมถึงสเปนด้วยจบลงในปี 1453

สงครามกับพวกมัวร์ที่ผลักดันต่างชาติออกจากประเทศที่จบลงในปี 1492 ทำให้ประชากรเพศชายชาวสเปนล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก

และทำให้ประชากรเพศหญิงมีทางเลือกสองทางสำหรับการสร้างครอบครัวหรือแสวงหาคู่ชีวิต

หนึ่ง คือการเลือกจากชายที่หลงเหลืออยู่

หรือ สอง คือการสร้างตนเองให้เข้มแข็งเยี่ยงชายและออกมาพึ่งพาตนเอง

การค้นพบโลกใหม่ของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ทำให้ทางออกที่ว่านี้มีพรมแดนที่กว้างขวางขึ้น

หญิงที่มีครอบครัวมักกระตุ้นให้สามีเดินทางไปสู่โลกใหม่เพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า

สภาพหลังสงครามในสเปน หรือหญิงที่ปราศจากคู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปโลกใหม่เพื่อแสวงหาชายที่เหมาะสมจากบรรดานักรบรับจ้างหรือคอนคิสตาดอร์จำนวนมากที่นั่น

ปริมาณการเดินทางของเพศหญิงไปยังโลกใหม่เพิ่มสูงขึ้นจนถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้เดินทาง

หรือกล่าวง่ายๆ ว่าทุกสิบคนที่เดินขึ้นเรือโดยสารจากท่าจะมีผู้หญิงอยู่สามคนในนั้นเสมอ

 

การปฏิเสธไม่ยินยอมเป็นช้างเท้าหลังที่เฝ้ารอการกลับมาของผู้เป็นสามีมีตัวอย่างที่น่าจดจำอันหนึ่งคือจดหมายของ อิซาเบล เด โบดาดิลล่า-Isabel de Bobadilla ที่มีต่อ เปโดร อริอัส ดาเวีย-Pedro Arias D?via ผู้นำการสำรวจโลกใหม่ครั้งใหญ่ที่สุดในปี 1514 (การสำรวจครั้งนั้นใช้เรือถึง 19 ลำ และผู้คนถึง 1,500 คน)

จดหมายฉบับนั้นบรรจุข้อความว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคุณ จะเป็นคลื่นลมอันเลวร้ายในมหาสมุทรหรือภยันตรายบนแผ่นดิน ฉันก็จะขอติดตามคุณไปด้วย ฉันมีทางเลือกให้คุณสองทาง คือ หนึ่ง นำฉันไปด้วย หรือไม่ก็ใช้ดาบของคุณเชือดคอฉันเสีย”

ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ คาทาลิน่า เด เอราโส่ จะตัดสินใจเลือกโลกใหม่เป็นดินแดนสำหรับการเริ่มต้นชีวิตของเธอ หลังหลบหนีออกจากคอนแวนต์ เธอใช้เวลาแปดวันหลบอยู่ในป่าละเมาะแห่งหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าผู้ชายและมุ่งหน้าลงใต้ด้วยการเดินเท้า

เธอตรงไปยังเมืองวิกตอเรียอันเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของแคว้นคาสติลล์ ด้วยทรงผมที่สั้นกุดเยี่ยงเด็กผู้ชาย ไม่มีใครสนใจเธอ

คาทาลิน่าใช้ผ้ารัดหน้าอกจนแบนราบและทำให้เธอละม้ายคล้ายคลึงผู้ชายมากยิ่งขึ้น

ภาพวาดรูปเหมือนของเธอแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างร่างกายที่กำยำและมีเพียงสองครั้งเท่านั้นในชีวิตที่เธอยอมอวดร่างกายอันเป็นหญิงให้กับผู้อื่น

ที่วิกตอเรียเธอทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอนให้กับนักการศึกษาท่านหนึ่ง แต่ความเบื่อหน่ายต่อโลกการเรียนที่เธอได้รับมาเป็นเวลาหลายปีจากในอารามคอนแวนต์ ทำให้คาทาลิน่าเข้าร่วมกับกลุ่มพ่อค้าลาที่มุ่งหน้าไปยังวัลลาโดลิด เมืองท่าสำคัญสำหรับการเดินทางไปโลกใหม่

คาทาลิน่าเปลี่ยนตัวเองจากบัณฑิตผู้คงแก่เรียนไปเป็นคนเฝ้าฝูงลาอย่างไม่ขัดเขิน

เมื่อถึงวัลลาโดลิด เธอได้งานเป็นเด็กรับใช้ของขุนนางคนหนึ่ง และพยายามหาทางเดินทางต่อไปยังโกลใหม่

แต่โชคร้ายที่พ่อของเธอเดาใจเธอออก เขาออกตามหาเธอทั่ววัลลาโดลิด เธอตัดสินใจย้อนกลับไปที่บิลเบาในแคว้นบาสก์ พื้นที่ที่เธอจากมาและรอคอยเวลาให้การค้นหาตัวเธอสร่างซาลง

กาลเวลาผ่านไปสามปี คาทาลิน่าได้งานเป็นลูกเรือของ หลุยส์ ฟาร์จาโด้

และเรือลำนั้นมีเป้าหมายอยู่ที่โลกใหม่

 

ตอนนั้น คาทาลิน่ามีอายุครบสิบแปดปีแล้ว ปี 1603 เป็นเวลานับร้อยปีกว่าหลังการไปถึงโลกใหม่ ศตวรรษที่สิบเจ็ดกำลังเริ่มต้นขึ้น มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงในดินแดนแห่งนั้น ทว่า ยังไม่เคยมีผู้นำกลุ่มชนที่เป็นเพศหญิง และคาทาลิน่ากำลังจะรับบทบาทนั้น

บนเรือที่ใช้โดยสาร คาทาลิน่าพบกับลุงของเธอ ภายใต้การปกปิดตนเองเธอได้รับทราบข่าวคราวว่าครอบครัวของเธอยังคงตามหาตัวเธออย่างไม่ลดละ

แต่ทดแทนการกลับคืนสู่ครอบครัว คาทาลิน่าขโมยเงินจากลุงของเธอเป็นจำนวนห้าร้อยเปโซและเตรียมการหลบหนี

ขบวนเรือขึ้นฝั่งครั้งแรกที่แหลมคูมาน่าซึ่งปัจจุบันคือประเทศเวเนซุเอลา ก่อนจะเดินทางต่อไปยังท่าเรือ นอมเบ เด ดิออส ในปานามา

และคืนหนึ่งในขณะที่เรือจอดพักอยู่นั่นเอง คาทาลิน่าก็ขออนุญาตยามประจำเรือขึ้นไปบนแผ่นดินโดยเธออ้างว่าได้รับคำสั่งให้ไปจัดการธุระให้กับกัปตัน

ยามประจำเรือที่คุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดีปล่อยให้เธอลงจากเรือไปและหลังจากนั้นเธอไม่ได้กลับมาที่เรืออีกเลย

ในบันทึกที่เธอเขียนขึ้นภายหลัง คาทาลิน่าเล่าว่า “เวลาสี่ทุ่มในคืนวันนั้น ในขณะที่กัปตันหลับ ฉันบอกกับยามประจำเรือว่ากัปตันส่งฉันไปทำธุระบนฝั่ง พวกเขาปล่อยให้ฉันขึ้นฝั่งไปโดยไม่ได้ซักถามอะไร เพราะพวกเขารู้จักฉันดี ฉันกระโดดลงจากเรือและหลังจากนั้นไม่มีใครได้พบฉันอีกเลย”

 

ที่นอมเบ เด ดิออส คาทาลิน่าได้งานทำเป็นตัวแทนการค้าให้กับนายทุนคนหนึ่ง เธอรับจ้างขนส่งสินค้าทางเรือไปยังเปรู แต่โชคร้ายที่เรือแตกลงที่ปาอิต้าทางเหนือของเปรู คาทาลิน่าว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้สำเร็จและรอดชีวิตมาได้

เธอเดินเท้าต่อไปถึงซาน่า เมืองหนึ่งในเปรูและได้งานทำเป็นพนักงานบัญชีที่นั่น

ที่ซาน่านั้นเอง คาทาลิน่าเริ่มต้นการฝึกอาวุธโดยเฉพาะดาบในเวลาว่าง

การที่เธอใช้ชีวิตผจญภัยต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปีทำให้ร่างกายของเธอแข็งแกร่ง ประกอบกับวินัยที่เธอได้รับการฝึกฝนจากอารามคอนแวนต์ทำให้การเรียนดาบของเธอรุดหน้าอย่างยิ่ง

การประดาบครั้งแรกของเธอเกิดขึ้นหลังจากเธอได้เข้าชมการแสดงกลางแจ้งครั้งหนึ่งในเมือง มีชายคนหนึ่งนั่งบังมุมมองของเธอที่มีต่อเวที เธอขอร้องเขาอย่างสุภาพให้ขยับตัวเพื่อให้เธอได้มีส่วนร่วมในการชมการแสดง

ทว่า คำตอบที่เธอได้รับคือ “ไปให้พ้น ไอ้หนุ่ม ไม่เช่นนั้นข้าจะกรีดหน้าแกเสีย”

ตอนนั้นในมือของคาทาลิน่ามีเพียงมีดสั้นเล็กๆ เล่มหนึ่ง เธอตัดสินใจจะทำการต่อสู้

หากแต่เพื่อนของเธอกันตัวเธอออกไปและขอให้เธอลืมเรื่องการเหยียดหยามนี้เสีย

หากแต่คาทาลิน่าไม่ยินยอม เธอออกสืบจนพบว่าชายผู้นั้นมีนามว่า เรเยส และวันหนึ่งในขณะที่เธอกำลังเฝ้าร้านค้าที่เธอทำงานอยู่นั้นเอง เธอได้แลเห็นชายที่เหยียดหยามเธอเดินผ่านหน้าร้านไป

คาทาลิน่าไม่รอช้า เธอออกไปที่ท้องถนน และตะโกนเรียกชื่อเขา “ซินยอร์ เรเยส นี่คือใบหน้าของคนที่แกต้องการจะกรีดให้เสียโฉม”

คาทาลิน่าชักมีดสั้นของเธอออกมาและใช้มันกรีดใบหน้าของเรเยสจนเหวอะหวะ

เพื่อนของเรเยสชักดาบออกมาและเข้าต่อสู้กับเธอ

แต่คาทาลิน่าก็เตรียมพร้อมเช่นกัน เธอชักดาบส่วนตัวขึ้นและใช้มันแทงเข้าสีข้างของชายคนนั้นจนล้มลงข้างทาง

 

จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้คาทาลิน่าต้องไปหลบซ่อนตัวอยู่ในอารามแห่งหนึ่งนานนับสัปดาห์

เธอต้องติดต่อกับโลกภายนอกและได้รับอาหารผ่านเพื่อนของเธอ

ฝ่ายบ้านเมืองต้องการให้เธอได้รับโทษจองจำ แต่วีรกรรมครั้งนี้ทำให้ชื่อของคาทาลิน่าเป็นที่กล่าวขวัญ

หญิงสาวหลายคนโดยเฉพาะผู้มีฐานะ ปรารถนาจะได้เธอเป็นคู่ครองและเอื้อมมือเข้าช่วยเหลือเธอ

เมื่อคาทาลิน่าพ้นออกมาจากอาราม เธอตัดสินใจย้ายเมืองเพื่อหลบเรื่องวุ่นวายต่างๆ เจ้าของร้านที่เธอทำงานด้วยตัดสินใจส่งเธอไปทำงานที่ร้านสาขาในเมืองทรูจิลโล่

ทว่า เรื่องราวร้ายๆ ของเธอไม่จบสิ้น เรเยสและพรรคพวกของเขาอีกสองคนตามตัวเธอพบในที่สุด มีการดวลกันเกิดขึ้น

คาทาลิน่าสังหารคนในกลุ่มนั้นไปหนึ่งคนและทำความบาดเจ็บให้คนที่เหลือ

ในครานี้เธอไม่พ้นเงื้อมมือของกฎหมาย คาทาลิน่าถูกจำคุกในที่สุด

หลังอยู่ในคุกได้ไม่นาน คาทาลิน่าได้ถูกปล่อยให้พบกับอิสรภาพ เชื่อกันว่าเป็นเพราะเหตุผลในการป้องกันตัวและจำนวนคู่ต่อสู้ที่มากกว่าในอีกฝ่าย

เธอออกจากคุกไปพำนักจิตใจอยู่ช่วงหนึ่งในอารามก่อนจะมุ่งหน้าลงสู่ลิม่าเมืองสำคัญของเปรู ช่วงเวลานั้นเองที่สเปนกำลังเตรียมตัวทำสงครามใหญ่เพื่อบุกเข้าไปในชิลีและผลักดันชนชาวพื้นเมืองให้ถอยกลับไปสู่พื้นที่ควบคุม

มีการตั้งกองกำลังหกหน่วยสำหรับการนี้

และคาทาลิน่าได้เข้าประจำการเป็นครั้งแรกภายใต้ผู้นำหน่วยที่มีชื่อว่า กัปตัน กอนซาโร่ โรดริเกวซ-Gonzalo Rodriguez