เพิ่มโทษใบขับขี่ ดาบ 2 คม !! ‘ผู้พิพากษา’ ทั้งเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย ชี้เปิดช่องทุจริต ติงร่างกม.ต้องรอบด้าน

ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกาไม่เห็นด้วยเพิ่มโทษลืมพกพาใบขับขี่ ชี้เป็นเรื่องไม่ร้ายเเรง มีใบขับขี่อยู่เเล้วให้สันนิษฐานไว้ว่าไม่เป็นภัยบนท้องถนน ติงผู้ร่างกฎหมายดูบริบทสังคมไทยหลายๆด้าน เพิ่มโทษสูงเสี่ยงเกิดตัดตอนกระบวนการยุติธรรมเปิดช่องทุจริต ส่วนไม่มีใบขับขี่ขับรถเห็นด้วยเพิ่มโทษต่างประเทศมองเป็นอาชญากรรม

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา กล่าวถึง กรณีทีมีการเสนอแก้กฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 เข้าด้วยกันให้เป็นกฎหมายฉบับเดียว อีกทั้งมีการเพิ่มอัตราโทษค่าปรับให้สูงขึ้นเพดานสูงสุด 50,000 บาท เกี่ยวกับการขับขี่รถที่ไม่พกพาใบอนุญาตขับขี่ และใบอนุญาตขับขี่หมดอายุ ว่า ในความเห็นส่วนตัวของตนซึ่งจะเป็นความเห็นทางวิชาการไม่เกี่ยวกับคดีความ มองว่าเรื่องนี้ต้องเเบ่งปัญหาออกเป็น2อย่าง คือ 1.มีใบขับขี่หรือไม่ก่อนอาจจะมีใบขับขี่เเต่ไม่ได้พกหรือ 2.คือกรณีที่ไม่มีใบขับขี่หรือก็คือไม่ได้ผ่านการทดสอบทางทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติ

ในกรณีเเรกคือได้รับอนุญาตให้มีใบขับขี่เเต่ลืมพกพาอันนี้ตนมองว่าไม่ใช่คดีที่ร้ายเเรง เพราะว่าเขาได้รับอนุญาตเเล้วเพียงเเต่ว่าเขาไม่ได้พก เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความไม่สะดวกของเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ว่าจะไม่สามารถไปยึดใบขับขี่ได้ ในกรณีที่มีการกระทำผิดกฎจราจร ความผิดตรงนี้ถือว่าไม่ได้มีความร้ายเเรงเพราะเขามีความสามารถที่จะขับรถผ่านการอบรมมีใบขับขี่เป็นเครื่องการันตี ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเขาจะไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ถนนร่วมทางอันนี้จึงไม่ควรจะไปเพิ่มโทษ หรือถ้าเพิ่มก็ควรเป็นโทษปรับเเต่ต้องไม่ควรมากจนเกินไป”
“ส่วนประการที่สองนั้นน่าสนใจ คือกรณีบุคคลผู้ไม่มีใบขับขี่ซึ่งต้องสันนิษฐานไว้ว่า เป็นผู้ไม่มีความชำนาญ เเละไม่ได้รับการอบรมทดสอบในการขับขี่จากกรมขนส่งทางบก ทำให้การควบคุมรถซึ่งคือเครื่องจักร ในต่างประเทศจะถือเป็นโทษที่ร้ายเเรง เพราะบุคคลคนนั้นที่ไม่มีความชำนาญในการขับรถ เขาพร้อมที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุต่อผู้ใช้รถร่วมทางหรือก่อให้เกิดทำให้ผู้ที่เดินถนนเป็นอันตราย ที่ผ่านมามีคดีเยอะมากที่เกิดจากผู้ที่ไม่มีใบขับขี่ ในต่างประเทศจะถือความผิดลักษณะนี้ร้ายเเรง รองลงมาจากความผิดฐานเจตนาฆ่ากันเลยทีเดียว” ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา กล่าวและว่า  หรือเมาเเล้วขับที่เมืองไทยยังให้มีการจับเเล้วสั่งคุมประพฤติเเต่ต่างประเทศถือว่าเป็นโทษที่ร้ายเเรงก็สั่งจำคุกเลย
“ทั้งไม่มีใบขับขี่หรือเมาเเละขับในสหรัฐอเมริกาเขาถือว่าเป็นอาชญกรรมตรงนี้ผมเห็นด้วยในเรื่องเพิ่มโทษ”

นายศรีอัมพร กล่าวอีกว่า เเต่ตนก็ขอตั้งข้อสังเกตุว่าการที่มีการตั้งโทษจำคุกหรือปรับไว้สูงมากจะเป็นประโยชน์ต่อการป้องปรามต่ออุบัติเหตุจากการจราจรหรือไม่ เพราะถ้าหากโทษสูงมากอาจจะมีกระบวนการหนีไม่ให้มีการดำเนินการทางกฎหมาย ตรงนี้อาจจะเกิดกระบวนการตัดตอนโดยการให้ทรัพย์สิน หรือเรียกทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการของกฎหมายขึ้นมา

“มีคนมองโทษสูงเกินไปมันจะไม่เหมาะสม เพราะว่าคนที่พอจะเเก้ไขได้ในทางวิชาการก็จะมีความเห็นว่าศาลนำคนเข้าคุกมากเกินไปเเละศาลไม่ควรจะนำคนเข้าคุกเลยควรให้โอกาสเขาให้รอการลงโทษเเละกำหนดโทษ เเต่ฝ่ายที่ที่ออกกฎหมายก็มองอีกมุมซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผล เเต่ผมมองว่าถ้าจะเอากลางๆการกำหนดโทษสูงเกินไปบางทีก็ไม่ได้เป็นการป้องปรามอาชญากรรม เเต่จะเป็นการชนเเล้วหนีสูงขึ้น เรื่องนี้เป็นเหมือนดาบสองคมถ้าเราฟันไปก็จะเกิดเอฟเฟค กลับมาการกำหนดโทษปรับสูงเเละจำคุกมากจะต้องดูบริบทของสังคมไทย จริงอยู่ผู้ที่ร่างกฎหมายก็คือรัฐบาลเเละสภาฯ บางทีก็มองในด้านเดียว จริงๆเราต้องดูผลกระทบด้วย จะหนักไปทางใดทางหนึ่งไม่ได้

“การลงโทษอย่างค่าปรับยังไงก็เป็นภาระประชาชนอยู่เเล้ว ทฤษฎีบอกไว้ว่าถ้าโทษต่ำเกินไปเขาก็ไม่กลัว เราก็ต้องดูตามค่าของเงินตรงนี้ก็สามารถปรับให้สูงขึ้นได้ เเต่ถ้าสูงจนเกินไปก็ไม่เหมาะสม ต้องให้ความยืดหยุ่นในการใช้ดุลพินิจในการลงโทษ อย่างคดียาเสพติดสมัยก่อนมียาบ้าเเต่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเม็ดเดียวก็ลงโทษได้ 2 อย่างคือจำคุกตลอดชีวิตกับประหารชีวิต ซึ่งคนออกกฎหมายมุ่งเเค่จะลงโทษไม่ให้มีคนกระทำผิดเเต่ความจริงก็พบว่ายังมีคนทำมาเรื่อยๆ ผลสุดท้ายจึงได้เเก้กฎหมายให้ลงโทษได้น้อยลง เราต้องดูกรณีศึกษาว่าเกิดผลกระทบอะไร เเต่ก็ถือว่าเป็นปัญหาโลกเเตกที่ทำอย่างหนึ่งกระทบอีกอย่างหนึ่ง จึงต้องคิดว่าทำเเค่ไหนอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดปัญหาทุจริตประพฤติมิชอบตามมา มีทฤษฎีทางอาชญวิทยาที่ระหว่างประเทศที่เขายอมรับกันเขาระบุว่าการเพิ่มโทษที่สูงเกินไปไม่ได้ทำให้การกระทำผิดในเรื่องนั้นลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เรื่องนี้ถกเถียงกันตั้งเเต่ศตวรรษที่18เเต่ยังใช้ได้อยู่” ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกากล่าว