แก้ กม.คุมมั่วสุม-ชู้สาว เปิดช่องตรวจสอบ น.ร.-น.ศ.ใช้สถานที่ลับตาทำพฤติกรรมไม่เหมาะ

จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอแก้ไขเพิ่มร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา (ฉบับที่ …) พ.ศ. … หลังกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 มีผลใช้บังคับมานาน โดยแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับความประพฤติของนักเรียน และนักศึกษาให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมความประพฤติที่เหมาะสม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และคำนึงถึงความปลอดภัยแก่นักเรียน และนักศึกษา โดยเฉพาะห้ามการรวมกลุ่ม มั่วสุม ห้ามกระทำเกี่ยวกับการแสดงพฤติกรรมทางชู้สาวอันไม่เหมาะสมโดยไม่จำกัดสถานที่ และห้ามออกนอกสถานที่พัก เพื่อเที่ยวเตร่ หรือรวมกลุ่ม อันเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง หรือผู้อื่น โดยไม่จำกัดเวลา นั้น

นายวรัท พฤกษากุลนันท์ ผู้อำนวยการสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาดและกิจการนักเรียน สำนักงานปลัด ศธ.เปิดเผยว่า กฎกระทรวงดังกล่าว ออกมาเพื่อให้สถานศึกษา เจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา (พสน.) และ ศูนย์เสมารักษ์ ของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ที่กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ สามารถเข้าไปดูแลเฝ้าระวังไม่ให้นักเรียน นักศึกษา กระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ในสถานที่ และเวลาได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในที่ลับตาคน ซึ่งเจ้าหน้าที่อาจไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เช่น หอพักต่างๆ ก็สามารถขออนุญาตเจ้าของหอพัก เข้าไปตรวจสอบเพื่อเป็นการป้องปราม อย่างไรก็ตาม สถานที่ที่พบว่านักเรียน นักศึกษา ชอบแสดงพฤติกรรมชู้สาวบ่อยครั้ง มีทั้งสวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า ร้านเกม โดยลักษณะของพฤติกรรมชู้สาวที่ไม่เหมาะสม มีทั้ง การกอด โอบไหล่ โอบเอว หอมแก้ม รวมถึง การมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งช่วงหลังพบพฤติกรรมดังกล่าวน้อยลง ส่วนการจับมือจะถือว่าเป็นพฤติกรรมเชิงชู้สาวหรือไม่นั้น ต้องดูว่าเป็นการจับในลักษณะใด ส่อไปในเชิงชู้สาวหรือไม่ ซึ่งสามารถสังเกตได้ไม่ยาก

นายวรัทกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม หากพบว่านักเรียน นักศึกษา มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เจ้าหน้าที่จะแจ้งไปยังโรงเรียน เพื่อแจ้งไปยังผู้ปกครอง ให้ทราบพฤติกรรมดังกล่าว ทั้งนี้ การแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว ไม่ได้เน้นดูแลเฉพาะพฤติกรรมชู้สาวเท่านั้น ยังรวมไปถึงการสอดส่อง ดูแลพฤติกรรมไม่เหมาะสมในเรื่องอื่นๆ เช่น เด็กติดเกม หรือกำหนดเพิ่มเติมการรวมกลุ่ม มั่วสุม อันน่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนด้วย