ทราย เจริญปุระ : ทรมานตัวเอง

เรื่องใหม่ๆ ในชีวิตฉันตอนนี้คือการออกกำลังกาย

ฉันเป็นคนไม่ออกกำลังกาย เพราะความเปียก ความเหงื่อมันขัดกับความชอบที่แท้จริงของฉัน คือการอ่านหนังสือ ที่ต้องการการอยู่นิ่งๆ แห้งๆ สว่างๆ

แต่ชีวิตก็จัดให้ฉันได้ออกกำลังผ่านการทำงานอย่างคุ้มค่า ในบางช่วงของชีวิต ฉันออกกำลังหนักกว่าคนที่จ่ายค่าสมาชิกฟิตเนสไว้ทั้งปีเสียอีก

แต่ก็นั่นแหละ

รถชน

แล้วชีวิตก็เปลี่ยน

ก็กินยา ก็รักษาตัวและสติ ก็กิน ก็ดื่ม ก็ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อกอบกู้และแก้ไขกันไป

แต่เมื่อขยับตัวมากไม่ได้ น้ำหนักฉันก็เกินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

และแน่นอน, ฉันเกลียดตัวเอง

มันไม่ใช่แค่เกลียดที่น้ำหนักขึ้น

แต่ฉันเกลียดความอ่อนแอที่ฉันก้าวข้ามมันไปไม่ได้

ฉันต้องกินยา ซึ่งยิ่งกินก็ยิ่งเร่งน้ำหนัก

ฉันดื่มเหล้าดื่มเบียร์ กินอะไรเละเทะไม่เป็นเวล่ำเวลา

กินเพื่อให้สบายใจ ณ เวลานั้น

เพื่อจะเกลียด และรังเกียจตัวเองในเวลาต่อมา

ขี้แพ้

หน้าไม่อาย

มีส่วนลึกๆ เล็กๆ ในใจฉันที่พยายามเถียงแบบอุบอิบ ว่าก็เธอป่วยนี่นา ยาก็ต้องกิน กำลังอะไรก็ออกไม่ได้ เธออยากอยู่หรือตายกันแน่ ถ้าเอาแบบอยู่ได้ มันก็ไม่สมบูรณ์แบบหรอก

แต่ฉันไม่ชอบการเปรียบกับคนที่เหมือนจะด้อยกว่า เช่น ดูคนนั้นสิ ขาขาดยังเป็นนักกีฬาได้เลย เพราะมันทั้งดูถูกเงื่อนไขของฉันและของผู้โดนเปรียบเทียบไปพร้อมๆ กัน พอๆ กับการปลอบโยนว่า, ถึงไม่มีใครรัก พ่อแม่ก็รักเราเสมอ

นี่มันสิ้นหวังเกินไปในความเป็นมนุษย์ที่ต้องเติบโต

พ่อแม่สร้างเราขึ้นเพื่อ “ออก” ไปสู่โลก ไม่ใช่เพื่อให้ “เข้า” มาอยู่กับความคุ้นเคยที่เป็นของตาย

คือถ้าคุณยังชอบตัวเองไม่ได้ จนต้องกลับมาให้พ่อแม่ยืนยันให้ ฉันรู้สึกว่ามันพิลึกน่ะ

แล้วเรื่องแบบนี้ก็เกิดกับฉัน

เมื่อคู่รักเรียกฉันว่า “อ้วน”

ก็ใช่ที่ฉันอ้วนขึ้น และก็ใช่ที่เขาเรียกแบบขำระคนเอ็นดู

ซึ่งนั่นแหละ คือที่สุดของความเลวร้าย

ถ้าเขาจิกเรียกฉันไปเลยว่าอีอ้วน ด่าที่ฉันไม่สวย ฉันอาจจะรู้สึกดีกว่านี้

แต่นี่น้ำเสียงเจือความเอ็นดูของเขามันแทบจะทำให้ฉันคลั่ง

มันเหมือนกับว่าเขายอมรับฉันแบบที่ฉันเป็น

ยอมรับแล้วว่าฉันก็เป็นได้แค่นี้

ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง

ไม่มีทางดีไปกว่านี้

อ้วนไง น่ารักดี

เขาปรับใจให้ชอบฉันในตอนนี้ได้

ทั้งที่มันควรจะเป็นความรู้สึกดีและน่ารัก

ฉันกลับรู้สึกพ่ายแพ้และล้มเหลวอย่างสาหัส

นี่ฉันอ่อนแอแพ้พ่ายจนเห็นได้ชัด จนกระทั่งคนที่สนิทที่สุดก็เชื่อไปแล้วสินะ ว่าฉันคงไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงได้

ฉันรู้สึกว่าความคิดนี้มันประหลาด

มันผิดปกติและบิดเบี้ยวไปจากความน่าจะเป็น

ฉันไม่กล้าบอกใคร

ฉันบอกรักเขาเหมือนเดิม และบอกว่าฉันอยากออกกำลังกายเพื่อตัวเอง

ซึ่งมันไม่จริงเลย

ถ้าจะให้ฉันทำอะไรเพื่อตัวเอง นั่นก็คือการนอนกินเบียร์ กินของทอด สูบบุหรี่ และอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ

ไม่ใช่การลุกขึ้นมาทรมานบนเครื่องวิ่งแบบนี้

วิธีคิดประหลาดๆ ของฉันนี้มันไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่

หรือที่จริงมันปกติ

ฉันเองที่เอาความน่าจะเป็นไปวัดค่ามัน

แล้วก็เศร้าใจเมื่อมันไม่เหมือนกับที่คนอื่นเขาพูดกัน

“เราถามตัวเองบ่อยครั้ง ว่าทำไมอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริงแม้ว่ามันจะพูดถึงเรื่องที่น่าสยดสยองและมักมีจุดจบแสนเศร้า แต่กลับเป็นเรื่องราวที่ดึงดูดนักอ่านและผู้ชมเหลือเกิน คำตอบที่เราคิดว่าน่าจะถูกต้องก็คือ โดยธรรมชาติแล้ว อาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริงนั้นเกี่ยวข้องกับแก่นและพื้นฐานของสิ่งที่เราเรียกอย่างสูงส่งว่า “สภาวะแวดล้อมของบุคคล” ในที่นี้เราหมายถึงสัญชาตญาณและความรู้สึกทุกชนิดที่เราสามารถรับรู้ได้ : รัก, เกลียด, ริษยา, แค้น, ความทะเยอทะยาน, ความต้องการทางเพศ, ความสุขและความเศร้า, ความหวาดกลัว, ความผิดหวังและความสิ้นหวัง และความรู้สึกว่าตนยิ่งใหญ่และมีสิทธิที่จะทำสิ่งนั้น…นำไปจับคู่กับส่วนผสมที่เท่ากันระหว่างความรู้สึกขาดพร่องที่ฝังรากลึกและความรู้สึกเกลียดตนเอง อาชญากรรมที่แท้จริงจึงเป็นเสมือนตัวแทนของสภาวะแวดล้อมส่วนบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นที่นำมาขยายให้ใหญ่ขึ้น”*

ระหว่างวิ่ง ฉันก็หาอะไรทำไปด้วย อะไรที่จะพอแก้เบื่อให้ฉันได้

มีคนแนะนำให้ฉันดูซีรี่ส์

ฉันก็ดู และเลือกดูเรื่องนี้

Mindhunter

เรื่องดัดแปลงจากหนังสือเล่มเดียวกันที่เล่าถึงประสบการณ์การเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ ประจำหน่วยสนับสนุนการสืบสวน ที่จะรวบรวมรายละเอียดของแต่ละคดี วิเคราะห์การกระทำของฆาตกร เอาตัวเข้าไปแทนผู้ฆ่าและเหยื่อ สร้างข้อมูลของพวกเขา อธิบายลักษณะนิสัยของพวกเขา และคาดการณ์เป้าหมายต่อไปของฆาตกร

ทนดูอยู่ได้สัก 4 ตอน ฉันก็ทนไม่ไหว ไปซื้อหนังสือมาอ่าน และอ่านจนจบในคืนเดียว ทั้งที่หลังๆ มานี้ฉันมีปัญหากับการอ่านอะไรยาวๆ ค่อนข้างมาก แต่กับเล่มนี้ มันมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดใจ

ในเล่ม, ผู้เขียนเล่าว่าเขาเคยถามนักพนันคนหนึ่ง ว่าทำไมต้องพนัน ทั้งที่รู้ว่ามันเสียเงินเสียทองและผิดกฎหมาย

“พวกเราก็เป็นแบบนี้” นักพนันตอบ

-พวกเราก็เป็นแบบนี้-

หมายความว่า สิ่งที่ทำให้เราเป็นเราก็คือตัวเราเอง

การเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม พันธุกรรมเป็นส่วนประกอบ

แต่เราเป็นแบบนี้ เพราะเราเป็นคนแบบนี้

เป็นคนคนเดียวบนโลกที่จะสร้างความเสียหายให้กับชีวิตของตัวเองได้อย่างมากที่สุด

ก็อาจจะต้องขอบคุณหุบเหวแห่งความมืดดำในจิตใจของมนุษย์ ที่ยังมีพื้นที่บนหน้าหนังสือให้ฉันได้ร่วมสำรวจ

สำรวจคนอื่นและสำรวจจิตใจตัวเองไปด้วย

เหมือนที่มีคนบอกว่า ถ้าเราจ้องมองเข้าไปในความมืด

ความมืดก็มองกลับมาที่เราเช่นกัน

หุบเหวของฉันก็เป็นชนิดหนึ่ง

และสำหรับเหล่าฆาตกรนั้นก็คงเป็นอีกชนิดหนึ่ง

ที่ต้องอาศัยผู้รู้แหวกว่ายทะเลเลือดจากเหยื่อของพวกเขาเข้าไปสำรวจดู

พอรู้แบบนี้ อยู่ๆ ฉันก็สบายใจขึ้น

ฉันไม่ได้แตกต่างอะไร

อาจจะแตกต่างจากคนดีๆ ทั่วไป

แต่ฉันควบคุมตัวเองได้ ไม่ให้ทำร้ายผู้อื่น

และหันกลับมาทำร้ายตัวเองเพราะมันสะดวกกว่า

ฉันไม่ได้วิ่งเพื่อค้นหานิพพาน

ฉันไม่ได้วิ่งเพื่อจะได้อยู่บอกรักคนรอบตัวนานขึ้นอีกนิด

ไม่และไม่

ฉันวิ่งเพื่อทรมานตัวเอง

เพื่อให้สาสมกับสิ่งที่ฉันทำลงไปกับชีวิต

ให้สมกับความรักโง่ๆ ที่ตอบแทนด้วยความหักพังของร่างกาย

ให้สาสมกับการยอมรับของคู่รักที่คิดว่าฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ฉันต้องทำให้ได้

และถ้าทำได้, เขาจะรักหรือไม่รักฉันมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

“ล่าปมวิปลาส ยอดฆาตกร” (Mindhunter) เขียนโดย John E.Douglas และ Mark Olshaker แปลโดย วีระวัฒน์ เตชะกิจจาทร ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 โดยสำนักพิมพ์ Maxx Publishing, กรกฎาคม 2561

*ข้อความจากในหนังสือ