เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์/ขอ ‘หมูป่า’ อีกครั้ง

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์

 

ขอ ‘หมูป่า’ อีกครั้ง

 

เมื่อ 2 ฉบับก่อนผมเขียนถึง “13 หมูป่าอะคาเดมี” ไปแล้วในรูปแบบของ “หนุ่มเมืองกรุง” ที่บอกเล่าถึงความยินดีที่พลังแห่งการร่วมมือร่วมใจกันของคนนับพัน หลากเชื้อชาติ สัมฤทธิผลลงได้โดยการนำพา 13 หมูป่าออกมาจากถ้ำได้หลังจากติดอยู่นานถึง 18 วัน
โอแม่เจ้า ถ้าเป็นเราต้องติดอยู่อย่างนั้น ในถ้ำมืดๆ ชื้นๆ ไม่มีอาหาร แถมออกซิเจนก็น้อยลงทุกที ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะอยู่รอดมาได้เช่นน้องๆ หรือไม่
แต่พวกเขาทั้ง 13 คนก็รอดมาได้จนสามารถออกมานั่งแถลงข่าวให้คุณสุทธิชัย หยุ่น สัมภาษณ์เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว อะไรที่ทำให้พวกเขาสามารถมาถึงวันนี้ได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เป็นภารกิจที่ยากแสนสาหัส แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเกินคาด
หลังเมฆหมอกผ่านพ้นไป ภารกิจสำเร็จแล้ว ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับภารกิจในแง่มุมต่างๆ ถึงค่อยถูกเปิดเผย ค่อยทยอยออกมาตอบสนองความอยากรู้ของผู้คน
หนึ่งในนั้นคือคำบอกเล่าของทีมอาสาสมัครจากต่างชาติที่ได้เป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการนำหมูป่าออกมาจากถ้ำได้สำเร็จ

ที่คัดลอกมานี้เป็นส่วนหนึ่งของบทแปลจากการให้สัมภาษณ์ของ 3 นักดำน้ำชาวอังกฤษ ที่ได้บอกกล่าวกับสื่อไว้ว่า
“ใจคนไทยเป็นหนึ่งเดียวและเด็ดขาด เด็ดเดี่ยวอย่างประหลาด เมื่อพวกตนเข้าไปแต่แรกสัมผัสได้เลย งานนี้ไม่ง่ายเลย…เริ่มคิดในใจว่า เราจะมาช่วยเขาหรือจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่กันแน่ แล้วก็หันไปถามผู้ที่เข้าไปด้วยกัน เป็นหน่วยซีลแห่งกองทัพเรือไทยว่าเราออกไปตั้งหลักกันใหม่ดีกว่าไหม…แต่หน่วยซีลแต่ละคนยืนยันจะไปต่อ พร้อมยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ต้องเข้าไปช่วยเด็กและโค้ชทั้ง 13 คนออกมาให้ได้อย่างปลอดภัย อย่างอื่นนอกจากนั้นเราไม่เคยคิดในสมอง”
“ผมก็ได้แต่อุทานดังๆ ในใจ Oh My God …เขาเหล่านี้มีเพียงแค่หัวใจเท่านั้น พร้อมอุปกรณ์ดำน้ำแสนธรรมดา อุปกรณ์เสริมอย่างอื่นก็ไม่มี มีแต่ตัวและหัวใจดวงเดียวเท่านั้น พวกเขาช่างเป็นคนประหลาดที่สุดในโลกที่เราเคยพบ”
นั่นเป็นความรู้สึกของ 3 นักดำน้ำที่มีต่อหน่วยซีลของไทย และนั่นทำให้พวกเขาตัดสินใจดำเนินภารกิจร่วมกับหน่วยซีลต่อ
และความรู้สึกที่เขามีต่อ 13 หมูป่าที่ได้ถ่ายทอดไว้คือ
“เมื่อได้พบเด็กๆ ก็ยิ่งประหลาดหนัก พวกเขาอยู่กันครบทั้ง 13 คน มันเป็นไปได้ยังไง เด็กๆ ทั้งนั้นเลยอยู่ทนได้ถึงสิบวัน โดยไม่ได้ทานอาหารอะไรเลย ยารักษาโรคก็ไม่มี มีแค่เพียงไฟฉาย Oh My God”

ในเรื่องความอยู่รอดได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจนี้ ได้มีผู้นำบทเทศนาของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ณ วัดสวนสันติธรรม เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม มาลงไว้ว่า
“หลวงพ่อยกย่องโค้ชเอกกับเด็กทีมนี้ เขามีธรรมะมากมายขณะที่ติดอยู่ในถ้ำ
มีสติใช่ไหม ไม่สติแตก
มีสมาธิ มีสมาธิเกิดขึ้นนี่ มันจะสงวนพลังงาน
มีปัญญา รู้ว่าน้ำตรงไหนกินได้ ตรงไหนกินไม่ได้ ถ้าหนาวๆ ก็มานอนเบียดๆ กัน นี่มีปัญญาที่จะเอาตัวรอด
มีขันติ อดทนอดกลั้น รู้จักรอ
ถ้าสติไม่มี ขันติไม่มี คงมุดน้ำออกมา แล้วตายอยู่ในน้ำกันหมดแล้ว
ธรรมะของเขาสูงนะ”
นอกจากการชี้ให้เห็น “ธรรมะ” จากการปฏิบัติของพวกเด็กๆ และโค้ชแล้ว หลวงพ่อยังชี้ต่อในวงของผู้มาช่วยก็มีธรรมะเหมือนกัน
“คนที่เข้าไปช่วย ทำไมต้องช่วย เพราะว่ามันมีธรรมะ แล้วตอนช่วยนี่ต้องอดทนไหม? ต้องเสียสละไหม? ต้องเสียสละความสุขของตัวเอง ยอมลำบาก สละกามสุข ไปนอนกับดินกับทราย
นี่เป็นบุญบารมีของเขา ยอมเหนื่อยยาก ยอมเสี่ยงภัย แต่ไม่ได้เสี่ยงโง่ๆ เสี่ยงแบบหลักวิชา มีหลักเกณฑ์”
จะเห็นได้ว่าในบทสัมภาษณ์ที่เขียนถึงนี้ เป็นมุมมองของคนตะวันตกที่เป็นแนววิทยาศาสตร์ ในขณะที่บทเทศนาเป็นมุมมองของชาวตะวันออก ที่มองด้วยหลักทางพุทธศาสนา
ซึ่งไม่ว่าจะมองด้วยหลักทางไหน คำตอบเดียวกันคือ “ความสำเร็จ ความอยู่รอด”
และความที่รอดมาได้ ก็เพราะการคิดและปฏิบัติตัวตามแนว “พุทธศาสนา” เป็นคำตอบให้กับคำถามตามแนว “วิทยาศาสตร์” ได้อย่างชัดแจ้ง
นอกจากนั้น 3 นักดำน้ำชาวอังกฤษยังได้พูดถึงความอัศจรรย์ใจกับ “ความเป็นคนไทย” ไว้ด้วยว่า
“ชื่นชมในความเป็นคนไทย ในความสามัคคีอย่างไร้ขีดจำกัด คนไทยล้วนมีมิตรไมตรีต่อกันและต่อชนทุกชาติ แม้ในยามวิกฤต ในยามคับขันของชีวิต ยังมีรอยยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจแก่กัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้ตัวเองยังยากจนข้นแค้น”

ในเรื่องนี้สำหรับอาสาสมัครต่างชาติ ต่างก็มีความเห็นเป็นไปในทำนองเดียวกัน อย่างเช่นนักข่าวหนุ่มชาวอังกฤษ เจมส์ ลองแมน ที่ได้พูดถึงสิ่งที่เขารู้สึกประทับใจอย่างมากกับการได้มาลงพื้นที่ทำข่าวครั้งนี้ว่า
“สิ่งแรกที่เขาประทับใจคือ รอยยิ้มอันสดใสของแม่ครัวภาคสนาม ที่ทำให้ทั้งอิ่มท้องและอิ่มใจ” รวมทั้งได้พูดถึงกลุ่มชาวบ้านด้วยว่า “ระหว่างการลงพื้นที่เพื่อหาข่าว ได้พบกับชาวบ้านที่เดินเท้าเข้ามาในพื้นที่เพื่อเป็นจิตอาสา และแน่นอนว่าทุกคนยังสนุกสนาน และมีรอยยิ้ม”
และเจมส์ยังพูดถึงเรื่องอาหารการกินอีกด้วยว่า
“นอกจากเมนูอาหารของแม่ครัวภาคสนามแล้ว ยังพบว่า พิซซ่าในเมืองไทยคืออาหารที่สามารถสั่งมาทานได้ทุกพื้นที่ ทุกสถานการณ์ ขอนับถือในสิ่งนี้ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย และประสบการณ์นั่งทานพิซซ่าในป่านั้นยอดเยี่ยมจริงๆ”
นึกภาพออกเลยใช่ไหมครับว่าชาวต่างชาติทั้งหลายจะรู้สึกประทับใจเพียงไรกับ “ความเป็นไทย” ที่เป็น “วิถีธรรมชาติ” เช่นนี้

ในเรื่องที่เกี่ยวกับอาสาสมัครและคนทำงานทั้งหลายนั้น หลวงพ่อปราโมทย์ก็ได้ให้แง่ธรรมะไว้ด้วยว่า
“มีวีรบุรุษเกิดขึ้นมากมาย วีรบุรุษไม่ใช่คนเก่ง วีรบุรษคือคนที่กล้าเสียสละเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เราเห็นวีรบุรุษเยอะแยะเลย”
“ถ้าช่วยเต็มที่แล้วเด็กตาย อุเบกขา ไม่ร้องไห้ ถ้าใจเรามีธรรมะ จะเป็นอย่างนั้น แต่เริ่มต้นไม่ใช่อุเบกขาก่อน ช่วยก่อน ช่วยไม่ได้แล้วจึงจะอุเบกขา”
“ช่วยออกมาได้ดีใจ พวกเราดีใจไหม ตัวนั้นเป็นธรรมะตัวหนึ่งนะ ชื่อมุทิตาจิต เราดีใจที่เขาพ้นทุกข์”
จะเห็นได้ว่ามีหลักธรรมะ มีหลักคิด มีแง่มุมงดงามมากมายที่พวกเราสามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องช่วย 13 หมูป่านี้ ซึ่งจะเป็นสติและปัญญาให้กับเรามากไปกว่าคิดหาตัวเลขไปแทงหวย
นอกจาการลงแรงช่วยกันในพื้นที่แล้ว พลังของโลกโซเชียลก็ได้ช่วยให้ภารกิจเป็นจริงขึ้น ไม่ว่าภารกิจนั้นขาดแคลนหรือต้องการสิ่งใด เพียงโพสต์ลงในเฟซบุ๊กไม่เท่าไร น้ำใจของคนไทยและต่างชาติก็นำพาสิ่งที่ต้องการนั้นมาให้
ถ้ารู้จักใช้ “ข้อดี” ของโซเชียลมีเดียแล้ว มันก็จะเกิดพลังบวกเช่นดังว่า
ในขณะเดียวกันก็มีคนบางพวกที่ใช้โซเชียลไปกับ “พลังลบ” ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นแต่อย่างใดเลย
หมูป่าทั้ง 13 คนพ้นจากถ้ำที่มืดมิดแล้ว
พวกเราที่อยู่ภายนอกก็ควรรู้จักที่จะเรียนรู้ เพื่อเอาปัญญากันก็จะเป็นบุญกับตนเอง
ไม่อย่างนั้น เรานั่นแหละที่จะต้องเข้าไปติดในถ้ำที่มืดมิดแทนเด็กๆ และกี่หน่วยซีล กี่นักดำน้ำ กี่หมอภาคย์ ก็คงช่วยไม่ได้ หากเราไม่รู้จักช่วยตัวเอง
ออกมาจากถ้ำกันนะครับ