หนุ่มเมืองจันท์ กับ “มูลค่าเพิ่ม” ของการ “เล่าเรื่อง”

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันก่อน ผมเพิ่งไปกายภาพบำบัดมาครับ

อยู่ดีๆ แขนขวาก็เริ่มมีอาการผิดปกติ

ชูขึ้นสูงๆ แล้วเจ็บ

เอื้อมมือไปข้างๆ ก็ปวด

ตอนแรกๆ ก็คิดว่าอักเสบเล็กน้อยเดี๋ยวก็หาย

แต่ยิ่งนานวันองศาการชูมือก็ลดระดับลง

ชักไม่ได้การแล้ว ยิ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเราอายุเท่าไร

แม้จะพยายามบอกตัวเองว่า “อายุ” เป็นแค่ “ตัวเลข”

แต่ “ตัวเลข” ก็คือ “ความจริง” ประเภทหนึ่ง

 

ผมตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

คุณหมอถามว่าเคยยกอะไรหนักๆ จนบาดเจ็บ หรือมีอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า

ผมส่ายหน้า

ถามว่าเริ่มเจ็บตั้งแต่เมื่อไร

ตอบไม่ได้อีก

ถามอะไรก็ตอบไม่ได้

หมอคงนึกในใจว่าอาการที่หนักกว่าเจ็บไหล่ก็คืออาการทางสมอง

“อัลไซเมอร์”

แต่ตอบไม่ได้จริงๆ ครับ เพราะเป็นความเจ็บแบบค่อยเป็นค่อยไป

คุณหมอจับมือหมุนซ้าย หมุนขวา ยกขึ้น ยกลง พักใหญ่

แล้วสรุปว่าเป็นข้อไหล่ยึด

แต่ไม่รุนแรง

 

คุณหมอสั่งให้ทำกายภาพบำบัด 6 ครั้ง ภายใน 2 สัปดาห์ แล้วค่อยมาดูอาการอีกครั้ง

ผมไม่เคยทำกายภาพบำบัดมาก่อน

งงๆ อยู่เหมือนกันว่าจะให้ทำอะไร

เขาให้เปลี่ยนชุดแบบคนไข้ทั่วไป

ผมก็เปลี่ยนชุดทั้งเสื้อและกางเกง

คิดว่าคงเหมือนกับนวดแผนโบราณ

พอเดินเข้ามาในห้อง นักกายภาพบำบัดหัวเราะ

“นวดแค่ไหล่ ไม่ต้องเปลี่ยนกางเกงก็ได้ค่ะ”

เธอเริ่มต้นด้วยการถามอาการ ให้ยกแขนขึ้น ให้เอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อหาจุดเจ็บ

ค่อยๆ อธิบายว่าการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวไหล่เป็นอย่างไร

สาเหตุที่เจ็บเพราะอะไร

จากนั้นจึงเริ่มการบำบัดด้วยการใช้เครื่องอุลตราซาวด์

ทาเจลที่ไหล่และหลัง

เครื่องนี้จะมีกระแสไฟฟ้าเบาๆ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ลึกลงไป

ระหว่างนั้น นักกายภาพฯ ก็จะบอกว่าจุดที่เจ็บเป็นกล้ามเนื้ออะไร

มีศัพท์แสงทางวิชาการประกอบ

ประมาณครึ่งชั่วโมงก็เริ่มนวด ดึงแขน บิดแขน

ระหว่างทำก็อธิบายไปเรื่อยๆ

ก่อนจะจบคอร์สด้วยการให้นอนบนแผ่นร้อน ใช้ความร้อนช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

ออกมาสบายตัวเลยครับ

ครบ 6 ครั้งก็สามารถเอื้อมไปถูหลังเองได้

ไม่ต้องไหว้วานใคร

แฮ่ม…

 

ประสบการณ์ครั้งนี้นอกจากจะได้ความรู้เรื่องแขนยึดแล้ว

ยังสอนผมเรื่อง “มูลค่า” จาก “การเล่าเรื่อง” อีกด้วย

ก่อนหน้านี้ “ห้องสมุดเคลื่อนที่” ของผมเคยไปกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

นักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลนี้แค่ทำอุลตราซาวด์ และประคบร้อนให้

ระหว่างทำก็เงียบๆ ไม่พูดอะไร

ถามแค่ตรงนี้เจ็บไหม

หน้าที่ของเธอคือแค่รักษาอาการเจ็บปวดเท่านั้น

เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ที่เขาอธิบายรายละเอียดของอาการเจ็บกล้ามเนื้อแต่ละมัดอย่างละเอียด

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกก็คือ เจ้าหน้าที่คนนี้รู้จริง

“ความเชื่อมั่น” เกิดขึ้นทันที

ราคาค่ากายภาพบำบัดของโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ สูงกว่าโรงพยาบาลแรก

แต่ผมกลับรู้สึก “ไม่แพง” กว่า

นี่คือ “มูลค่า” ของ “การเล่าเรื่อง”

นักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลแรกอาจจะมีความรู้ดีกว่าที่ “สมิติเวช” ก็ได้

แต่พอเขาไม่พูด

เราก็ไม่รู้

แต่ที่ “สมิติเวช” พูดและอธิบายได้ดี

ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเก่ง

รักษากับ “คนเก่ง” ราคาสูงกว่าหน่อยก็ “ไม่แพง”

เหมือนกับเวลาเราไปทานอาหารที่มีเชฟเดินมาเล่าที่มาของอาหารจานนี้

วัตถุดิบมาจากไหน

สดแค่ไหน

เครื่องปรุงรสวิจิตรพิสดารอย่างไร

เช่น รสชาติเปรี้ยวของมะนาวจากขั้วโลกเหนือตัดกับรสชาติของเนื้อวัวที่เลี้ยงอย่างดี ให้เคลื่อนที่น้อยที่สุด และนวดด้วยแพทย์แผนไทยเป็นประจำทุกวัน

มันจะทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ตุ่มรับรสที่โคนลิ้นด้านขวา

อะไรประมาณนั้น

 

การเล่าเรื่องที่มาและการปรุงอาหารจะทำให้ “มูลค่าเพิ่ม” ของเมนูนี้เกิดขึ้นทันที

บ้านจัดสรรราคาแพงก็เหมือนกัน เขาจะไม่เริ่มต้นด้วยการเล่า “ฟังก์ชั่น” ของห้อง

แต่จะเริ่มด้วยการอธิบายที่มาแนวคิดในการออกแบบบ้านก่อน

อารมณ์ที่อยู่ในห้องรับแขกเป็นอย่างไร

ห้องนอนเป็นอย่างไร

พนักงานขายจะมีคู่มือการเล่าเรื่องเป็นขั้นตอน

ใช้ “การเล่าเรื่อง” สร้างมูลค่าเพิ่ม

ผมก็มี “เรื่องเล่า” เรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟังครับ

 

มีนักเขียนคนหนึ่ง เขาเป็นนักข่าวเก่าที่สั่งสมประสบการณ์การพูดคุยกับคนหลากหลายสาขาอาชีพ

ทั้งนักธุรกิจ การเมือง วงการกีฬาและบันเทิง

แต่ละคนก็ล้วนเป็น “ไอดอล”

เป็น “แรงบันดาลใจ” ให้กับคนมากมาย

วันหนึ่ง เขาก็ใช้ประสบการณ์การเขียนกว่า 30 ปี กลั่นกรองเรื่องราวทั้งหมดมาเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง

เป็นหนังสือเกี่ยวกับ “แรงบันดาลใจ” ครับ

เขาเชื่อว่าคนทุกคนไม่ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดัง หรือคนตัวเล็กๆ ก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น

แม้แต่ตัวคุณเอง

หนังสือเล่มนี้ก็เหมือนกับหนังสือเล่มอื่นๆ

มีกระดาษ

มีภาพ

มีตัวอักษร

แต่ที่แตกต่างกว่าเล่มอื่นก็คือ มันแฝงพลังแห่ง “แรงบันดาลใจ” เอาไว้ข้างใน

เป็นงานเขียนที่วิจิตรบรรจงมากครับ

นั่นคือ เหตุผลที่นักเขียนคนนี้ส่งต้นฉบับช้า

เล่ามาถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหมครับหนังสือเล่มนี้น่าอ่านจริงๆ

ตั้งราคาเล่มละ 1,000 บาทยังถูกเลย

แต่เชื่อไหมว่าเขาขายแค่ 200 บาทเอง

แฮ่ม อยากรู้ชื่อหนังสือเหรอครับ

อย่าบอกใครนะครับ

หนังสือเล่มนี้ชื่อ “เราต่างเป็นแรงบันดาลใจให้แก่กัน” ครับ

ไม่ได้โฆษณา

แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ครับ