วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ /สู่ร่มกาสาวพัสตร์ พบเพื่อจาก

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

 

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

พบเพื่อจาก

 

บรรยากาศภายนอกเริ่มครึ้ม ความมืดจางๆ เริ่มโรยตัวปกคลุมเข้ามาในห้อง พร้อมสายลมโชยผ่านประตูเข้ามาถึงข้างใน ลมมิได้พัดโชยเข้ามาแต่เพียงลม ยังพัดผ่านร่างจงจิตพากลิ่นน้ำหอมที่เธอประพรมทุกครั้งที่ออกจากบ้านและระหว่างทางตามประสาผู้หญิงเข้าจมูกพระปานด้วย

พระปานชะงัก กลิ่นนี้เป็นกลิ่นเดียวกับเมื่อเช้าวันที่ออกบิณฑบาต แล้วมีหญิงสาวเดินผ่าน เป็นกลิ่นชาแนล นัมเบอร์ 5 ไม่มีผิด อารมณ์พระปานกระหวัดกลับไปเมื่อเช้าวันนั้นในขณะนี้ รู้สึกรัญจวนป่วนปั่นตึงเนื้อตึงตัวขึ้นมาทันทีนั้น

และแล้ว ไม่ถึงนาทีหนึ่งจากนั้น พระปานรำลึกได้ว่าขณะนี้อยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ แม้นุ่งเพียงสบง ห่มเพียงอังสะ แต่คือเพศบรรพชิต มิผิดไปจากนั้น อารมณ์รัญจวนค่อยคลายลง ก่อนจะถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง

จงจิตเอ่ยถาม “มีอะไรหรือคะ …ถอนใจ” แล้วว่าต่อ “ประเดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”

พระปานปฏิเสธพัลวัน “เปล่าๆ ไม่มีอะไร ถอนใจไปอย่างนั้นเอง เอ้อ – จะบอกว่า ที่ว่าจะบวช 2 เดือน วันนี้ยังไม่กำหนดว่าสึกเมื่อไหร่” บอกออกไปแล้วรู้สึกโล่งจากความรู้สึกก่อนหน้านี้

“อยู่ไปนานๆ เถอะค่ะ อยากให้บวชนานๆ” จงจิตบอกจริงใจตามประสาผู้หญิง แล้วเหมือนนึกขึ้นมาได้จึงหยิบถุงคุกกี้ยื่นถวาย

พระปานเอ่ยบอก “ของกินนี่เขาต้องถวายก่อนเพลจึงฉันได้ นี่เอามาถวายจนเย็น จะฉันเข้าไปได้ยังไง” พระปานแกล้งเย้า

“ก็ไม่รู้นี่ เอามาให้ยังว่าอีก” จงจิตแกล้งโมโห “นึกว่าฉันได้น่ะสิ”

 

“เอ้อ…” พระปานเหมือนคิดขึ้นได้จึงว่า “เมื่อมีของมาถวายต้องให้กรวดน้ำ ยะถาสัพพี จะได้รับบุญ” ว่าแล้วลุกขึ้นหยิบกรวยกรวดน้ำและที่รองรับน้ำมาวางตรงหน้าจงจิต เธอทำสีหน้างง ขณะที่พระปานลุกขึ้นสาวจีวรจากราวมาห่มคลุม เปิดไหล่ข้างหนึ่ง แล้วนั่งลงบนผ้ารองนั่ง

“เอ้า…เคยกรวดน้ำไม่ใช่รึ เตรียมตัว พนมมือ” พระปานยกมือขึ้นพนมแล้วเริ่มบทกรวดน้ำ

“ยะถา วาริวหา ปูราปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโตทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ชิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา” เมื่อว่าบทกรวดน้ำจบ พอดีกับจงจิตซึ่งเคยกรวดน้ำมาแล้ว ยกกรวยเทน้ำลงใส่พานขนาดย่อมนั้น

พระปานบอกให้พนมมือรับพร แล้วท่องบท “สัพพี” ต่อ

“สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมาวัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”

เป็นอันจบการกรวดน้ำและให้พรจากพระอย่างย่นย่อ พระปานยังนั่งตรงเดิม ขณะที่จงจิตเลื่อนเครื่องกรวดน้ำให้ห่างออกจากตัว “วางไว้ตรงนั้นแหละ” พระปานบอก แล้วว่า “บทกรวดน้ำเมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วไพเราะมาก จะแปลให้ฟัง…”

แล้วพระปานท่องคำแปลที่จำมาจนขึ้นใจว่า

“บทแรก ยะถาฯ แปลได้ความว่า ห้วงน้ำที่ยังเต็มสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วในโลกนี้ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ ฉันนั้น ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยพลัน ขอดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ เหมือนดังแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี”

จงจิตยกมือพนมคล้ายรับคำแปลนั้น ก่อนนำมือลง พระปานบอกว่า เดี๋ยว ยังไม่จบ “หลังกรวดน้ำยะถาแล้ว พระจะให้พร ฟัง ขึ้นต้นสัพพีติโย… ความจัญไรทั้งปวงจงบำราศไป โรคทั้งปวงของท่านจงหาย อันตรายทั้งปวงจงอย่ามีแก่ท่าน ขอท่านจงมีความสุขและมีอายุยืน บุคคลผู้มีปกติไหว้กราบ เป็นนิตย์ มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ย่อมเจริญด้วยธรรมะสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ”

“เป็นไง” พระปานถาม ขณะที่จงจิตเอ่ย “สาธุ” แล้วลดมือลงวางบนตักตามเดิม

“กว่าจะท่องได้นี่นานเกือบเดือนเทียวนะ เพราะไหม ทีนี้เมื่อไปกรวดน้ำ รับพรจากพระจะได้รู้ความหมาย บทแรก เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ บทหลังให้อายุยืน มีผิวพรรณผ่องใส มีความสุข และกำลังกาย กำลังใจ”

 

เมื่อความมืดปกคลุมเข้ามาในห้อง พระปานลุกขึ้นเปิดสวิตช์ไฟฟ้า แสงสว่างกลับเข้ามาแทนที่ เสียงนกเงียบไปแล้ว เสียงสวดมนต์ที่ได้ยินแว่วๆ เงียบไปเช่นกัน

สักครู่ พระบางรูปที่ลงโบสถ์เดินผ่านหน้ากุฏิ เห็นจงจิตนั่งเยื้องเข้าไปในประตู จึงเดินเลี่ยงเลยไป พระครูสมุห์เดินผ่านไปเมื่อครู่ ได้ยินเสียงเรียกมหาอุดมให้ไปสวดพระอภิธรรม

จงจิตยกข้อมือดูนาฬิกา “ตายละ” แล้วออกอุทาน “จะหกโมงแล้ว เห็นจะต้องลากลับไปก่อนละค่ะ”

“แล้วเมื่อไหร่จะลงมาอีกล่ะ” พระปานใจหายเมื่อจงจิตบอกลา

“คงเป็นโน่น ปิดเทอมใหญ่ปลายเดือนมีนาคมโน่นเลย” จงจิตตอบแล้วกล่าวคำลาอีกครั้งพร้อมค้อมตัวลงกราบ เมื่อเงยหน้าขึ้นจะลุกจึงบอกอีกทีว่า อย่าลืมฉันคุกกี้ที่เอามาถวาย พระปานยิ้มให้ แล้วลุกขึ้น

จงจิตลุกขึ้นแทบพร้อมกันนั้น เขาตามมาส่งถึงประตู “ออกไปถูกนะ”

พระปานมองจงจิตจนเดินลับสายตา กลับเข้ากุฏิ นั่งลงบนพื้นห้องมองไปที่ถุงใส่กล่องคุกกี้ที่จงจิตนำมาถวาย

ความกระวนกระวายทั้งปวงแรกมีหลังบวชได้ไม่ถึงสัปดาห์ต่อเธอ เมื่อเวลาผ่านเลยไป และเธอมานั่งตรงหน้า แรกเห็นรู้สึกดีใจ แล้วเริ่มวางเฉย แม้เมื่อครู่ได้กลิ่นหอมที่เคยชื่นใจยามเมื่ออยู่ด้วยกันรู้สึกตึงเนื้อตึงตัวขึ้นมาก็ตาม แต่จิตใจขณะนี้ของพระปานสงบนิ่ง จนตัวเองไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นไปได้

พบหน้าจงจิต แรกๆ ยังเกรงว่า ความหลังความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจะผุดพลุ่งขึ้นในจิตในใจ แต่แล้ว เมื่อได้พูดคุยกัน การณ์กลับปรากฏว่าพระปานเห็นเธอเหมือนเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น

หรือจะเป็นเพราะอยู่ในเพศฆราวาส ต้องอดกลั้นความรู้สึกทั้งหลาย และแม้จะมีเกิดขึ้นบ้าง ต้องสะกดกลั้นความรู้สึกนั้นไว้ไม่ให้แสดงออกมาทางกาย วาจา หากความรู้สึกทางใจคงห้ามยาก พระปานคิด

หรือเป็นเพราะรู้แน่ชัดแล้วว่าจงจิตตัดขาดจากเขาแน่นอน โอกาสที่จะหวนกลับไปในสภาพหอมหวานอย่างเคยหมดสิ้นลง สังเกตจากการพูดคุย เมื่อเขาจะพูดถึงบางเรื่องอันเป็นส่วนเกี่ยวพันกับเธอและเขา จงจิตมักเปลี่ยนเรื่องทันที