เรื่องสั้น : พาดขาข้างหนึ่งไว้บนดวงดาว (ตอนจบ) (ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง)

ย้อนอ่านตอน  2   

คืนก่อนจะเกิดเรื่องร้าย เราทะเลาะกันรุนแรงตั้งแต่กลางดึกไปจนจรดช่วงหัวค่ำของอีกวัน เธอไล่ผมลงจากเตียงเพราะคิดว่าผมปันใจให้สาวเสิร์ฟแม่ม่าย เธอบอกว่าผมสนิทสนมกับสาวเสิร์ฟแม่ม่ายผู้นั้นเกินไปจนน่าสงสัย ส่วนผมระงับอารมณ์ไม่อยู่ เผลอตัวระเบิดอารมณ์ใส่เธอบ้าง เพราะเธอเองก็ดูเหมือนจะสนิทสนมกับหนึ่งในนักดนตรีเป็นพิเศษ หยอกล้อกันอย่างถึงเนื้อถึงตัว เธองอนผม ตีหน้านิ่ง ทำตัวเหมือนเป็นใบ้

วันนั้นเป็นวันซวยของผม เจ้าของร้านเมาจนขาดสติ ลูกค้าบางตาเพราะฝนตกหนัก เขาจับผมล็อกคอลากออกมาด้านหน้าเวที ขณะเธอกำลังร้องเพลงกล่อมลูกค้า เขาสงสัยว่าเธอมีความคิดฝักใฝ่เรื่องการเมืองจึงอยากรู้ว่าน้ำตาของเธอเป็นสีอะไร เขาใช้มีดพกจิ้มที่กระเดือกผม ขู่จะฆ่าผม ใช้ปลายมีดกดลงที่ลูกกระเดือกทีละน้อย ขณะสายตาของเขาจับจ้องรอดูสีน้ำตาของเธอ

“ร้องไห้ออกมาซี” เขาครางเบาๆ

เหตุการณ์เริ่มวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาห้าม ชายเจ้าของร้านเหวี่ยงปลายมีดใส่พร้อมไล่ตะเพิดลูกค้า หลังจากนั้นไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเหลือผมเลยสักคน ผมเริ่มอ่อนล้าเมื่อถูกล็อกคอผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เจ้าของร้านเริ่มซ้อมผม อัดด้วยกำปั้น ทั้งเตะ ทั้งกระทืบ เมื่อผมมีท่าทีจะยืนไม่อยู่ เขาก็จับผมประคองขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วใช้มีดจี้ที่คอผมไว้

ผมจ้องตาปรารถนาให้เธอช่วยชีวิต มีทางเดียวที่ผมจะรอด นั่นคือเธอต้องร้องเพลงต้องห้ามเพื่อเรียกให้เจ้าหน้าที่ของฝ่ายปกครองแห่เข้ามาในร้าน คนพวกนั้นอาจจะช่วยระงับเหตุได้ ผมเชื่ออย่างนั้น

ตอนนั้นผมสลบไปก่อน ผมจึงไม่รู้ว่าเธอร้องเพลงต้องห้ามหรือเปล่า เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนผมฟื้นขึ้นในห้องแคบนี้

ผมไม่ได้ย้อนกลับไปทำงานอีก ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการตามหาเธอมานานนับเดือน ผมตระเวนไปทั่ว ไล่ตั้งแต่สอบถามจากเถ้าแก่เจ้าของห้องเช่า ตระเวนไปอีกหลายซอย เดินข้ามสะพานไปฝั่งลาว ไปตามหาเธอทุกที่ที่เราเคยไปด้วยกัน ที่สุดท้ายคือเกสต์เฮาส์ริมโขงฝั่งลาว สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเราลางานไปผลาญเวลาโดยการนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่นั่น ขณะนั้นเรามีอารมณ์ประหลาดร่วมกันคือต้องการไปเที่ยวต่างประเทศ!

เกสต์เฮาส์แห่งนั้นมีตัวอาคารเป็นครึ่งตึกครึ่งไม้ สถาปัตยกรรมโคโลเนียลสไตล์ หลังคาจั่ว เชิงชายประดับไม้ฉลุตกแต่งงดงาม ช่องแสงเป็นไม้ฉลุลายพรรณพฤกษา หน้าจั่วประดับไม้กางเขนสีทอง สภาพโดยรวมมองเผินๆ ก็รู้ว่าเป็นอาคารที่ก่อสร้างใหม่ สีสันของตัวอาคารสะดุดตาเมื่อมองจากระยะไกล ไม่แปลกที่สามารถยั่วยวนนักท่องเที่ยวจากอีกฟากฝั่งโขงให้ไปเยือนได้ เธอชอบเกสต์เฮาส์แห่งนั้น ผมมั่นใจว่าเธอจะแวะเวียนไปบ้าง

ผมนอนอยู่ฝั่งลาวหลายคืน กระทั่งแน่ใจว่าไม่พบเธอแน่แล้วจึงย้อนกลับมาขังตัวเองอยู่ในห้องแคบ เฝ้าฝันถึงห้วงนภากว้าง ครุ่นคิดจนจิตตก ผมคิดว่าวันนั้นเธออาจไม่ได้ร้องเพลงต้องห้ามบนเวทีก็เป็นไปได้ ผมอาจรอดมาได้โดยบังเอิญไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง ส่วนเธออาจเลือกหนีเอาตัวรอด ใครจะร้องเพลงต้องห้ามเพื่อช่วยคนอื่นแล้วตัวเองต้องถูกจับ เธอคงตัดสินใจหายหน้าไปจากร้านริมโขงนั่นตลอดกาล เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคุกคามจากชายเจ้าของร้านผู้ประกาศตนว่าไม่ฝักใฝ่เรื่องการเมือง

จวบจนแน่ใจแล้วว่าเธอคงไม่ย้อนกลับมาหาผมแล้ว ผมทิ้งตัวนอนกับปุยเมฆหนานุ่ม รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาดในหัวค่ำที่ผ่านมา ผมกัดฟันลุกขึ้นยืน จ้องมองกระจกเงาบานใหญ่ เหวี่ยงปลายเชือกข้างหนึ่งคล้องกับเสี้ยวดวงจันทร์ กระตุกบ่วงให้แน่น ใช้ปลายเชือกที่ห้อยลงมาแขวนคอ เขย่งเท้าสุดเหยียด ดึงจนเชือกตึงไม่อาจคลายเงื่อน

โชคดีหรือร้ายไม่อาจกล่าว เถ้าแก่หัวล้านพังประตูเข้ามาในพลันนั้น

“เอาละ คุณควรไปจากที่นี่ได้แล้ว ที่เธอไม่มาหาคุณ เพราะเธอยังรักคุณ” แกพ่นสำเนียงแปร่งๆ เมื่อปลดเชือกแล้วอุ้มผมลงนอนบนเตียง “คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกทหารติดตามคุณไปทุกที่ และยังมาเฝ้าอยู่หน้าร้านของฉันทุกวัน ใครจะกล้ามาหาคุณ”

“ทำไมถึงคิดว่าเธอยังรักผมครับ”

“อยู่ในประเทศนี้มองอะไรตรงไปตรงมาไม่ได้หรอก มันซับซ้อน ยอกย้อนจนน่ากลัว เดาจากรอยแผลเป็นที่รอบลำคอ ฉันคิดว่าคุณน่าจะรู้ดีกว่าใครว่าการถูกทรมานเพื่อพิสูจน์ทราบสีน้ำตาของคนที่คุณรักมันเจ็บปวดแค่ไหน หรือความรู้สึกรักกลบกลืนความเจ็บปวดจนหมดแล้ว ไหนคุณบอกฉันหน่อย”

“ผมไม่รู้ ผมไม่เคยถูกทรมานเพื่อพิสูจน์สีน้ำตาของใคร! ผมยังไม่อยากไปจากที่นี่ ผมยังไม่มีโอกาสได้บอกเธอเลยว่า คนที่เธอคิดว่าผมรักมากที่สุดนั้นเป็นใคร หากไม่ได้บอกผมก็รู้สึกผิดอยู่เช่นนี้ เพราะมันคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก แต่เป็นตัวผมเองนี่แหละ”

“ยังไง” เถ้าแก่เจ้าของห้องเช่ากลอกตา

“เถ้าแก่เห็นบานกระจกนั่นไหมล่ะ” ผมพูดบอกแก พลางเบนสายตาสื่อนัยให้แกหันมองกระจกเงา ผมชะงักครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อไป “…วันแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เถ้าแก่จำได้ไหมว่ามีทหารบุกเข้ามา พวกมันมาพิสูจน์สีน้ำตาของผม ครั้งนั้นน่าจะเป็นหนที่สามในชีวิตแล้วละ ตอนนั้นผมไม่เหลือใครแล้ว เพื่อนที่สนิทกับผมที่สุดก็ตายไปแล้ว ญาติฝ่ายพ่อแม่ก็ไม่ได้พบกันนานนับสิบปีแล้วละมั้ง พวกนั้นจะจับผมไปขัง อ้างว่าเมื่อตามหาญาติพี่น้องของผมพบ ผมจึงจะได้โอกาสพิสูจน์สีน้ำตาอีกครั้ง ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนอีก มันยากที่จะคิดตัดสินใจหาทางออก มันเจ็บปวดที่ต้องทนดูคนอื่นได้รับความทุกข์ทรมานแทน ผมจึงเสนอให้พวกมันจับผมแขวนคอหน้ากระจกเงาบานนี้ ขนาดบานกระจกใหญ่พอจะเห็นร่างเล็กของผมได้เต็มตัว ผมหวังว่าเมื่อผมใกล้หมดลมหายใจ ความตายอาจทำให้ผมตื่นกลัวจนต้องร้องขอชีวิต สมเพชเวทนาตัวเองจนน้ำตาพรั่งพรูออกมาได้ ตอนที่ผมถูกจับแขวนคอ ผมเปิดตากว้างจ้องมองกระจก ในที่สุดน้ำตาของผมก็ไหลออกมา แล้วผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”

“พวกนั้นแขวนคอคุณยังไง กับแกนพัดลมเพดานเนี่ยเหรอ” เถ้าแก่หัวล้านคะเนร่างเล็กแกร็นของผม แกคงคิดว่าเมื่อจับแขวนกับแกนพัดลมเพดานแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่าขาที่เป็นปล้องสั้นๆ ของผมจะห้อยลงถึงเตียงนอน

“นั่นไม่ใช่แกนพัดลมเพดาน นั่นส่วนเสี้ยวของดวงจันทร์” ผมชี้แจงกับแก ทำหน้าเรียบๆ บางครั้งผมก็สับสนระหว่างแกนพัดลมเพดานกับเสี้ยวของดวงจันทร์ เตียงนอนกับก้อนเมฆ และสับสนอะไรอีกหลายอย่าง แต่นาทีนั้นผมมั่นใจว่ามันคือเสี้ยวของดวงจันทร์ ผมยืนยัน

“คุณจะทรมานจนใกล้ตายได้ยังไง ฉันคิดว่าเมื่อแขวนคอคุณกับแกนพัดลม…เอ่อ ฉันหมายถึงเสี้ยวดวงจันทร์ ฉันคิดว่าคุณก็ยังสามารถยืนบนเตียงนี้ได้สบาย”

“เหวี่ยงเชือกคล้องกับเสี้ยวดวงจันทร์แล้ว กระตุกบ่วงให้แน่นแล้ว แขวนคอผมแล้ว ความกลัวตายจะทำให้ผมเขย่งเท้าสุดเหยียด เมื่อเชือกตึงก็ไม่อาจคลายเงื่อน”

“แล้วยังไงต่อ” ท่าทางเถ้าแก่เจ้าของห้องเช่าคล้ายหงุดหงิด แกคงคิดว่าผมชักช้าไม่ยอมสรุปความ ครั้นแล้วแกก็ตกตะลึงเมื่อผมพูดว่า

“แล้วรอให้สายลมค่อยๆ พาเมฆเคลื่อนออกไป!” ผมหวังว่าแกจะเข้าใจ

“ทำแบบนี้มันโหดร้ายเกินไป สายเลือด “เดียนเบียนฟู” อย่างฉันไม่เคยยอมจำนนให้ใคร ยินดีจะช่วยผู้ถูกระรานเสมอ อย่างงั้นคุณไม่ต้องไปจากที่นี่ ฉันจะคอยช่วยเหลือคุณต่อต้านฝ่ายปกครอง และจะช่วยตามหาเธอให้พบ”

ตอนนี้เองที่ผมได้รู้ว่าแกเหน็บเชื้อสายเวียดนามพาข้ามฝั่งโขงมาด้วย

“เดียนเบียนฟู” เมื่อได้ยินชื่อนี้ก็ต้องนึกถึงมหาสงครามอันสุดภาคภูมิของเวียดมินห์ ผมไม่รู้รายละเอียดมาก เคยได้ยินมาบ้าง เผื่อคุณยังไม่รู้ ผมจะขยายความสักเล็กน้อย เดียนเบียนฟูเป็นสมรภูมิรบครั้งยิ่งใหญ่ในมหาสงครามอินโดจีน ขบวนการกู้ชาติเวียดนามชิงชัยได้จากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ฝ่ายแรกภาคภูมิ ฝ่ายหลังไม่อยากจดจำ

ด้วยเพราะเดียนเบียนฟูเป็นพื้นที่ราบ มีภูเขาสูงล้อมรอบ เจ้าอาณานิคมจึงเลือกใช้เป็นฐานที่มั่นเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงเสบียง อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งกองกำลังระหว่างราชอาณาจักรลาวไปสู่เวียดนามเหนือในขณะนั้น แต่แล้วภูเขาสูงที่ฝรั่งเศสหมายใช้เป็นป้อมปราการ กลับกลายเป็นที่ตั้งปืนใหญ่และฐานที่มั่นของกองกำลังเวียดมินห์ ใช้เวลาสองเดือนเจ้าอาณานิคมถูกยึดฐานที่มั่น รัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศสประกาศถอนทัพออกจากประเทศในอินโดจีน หลังจากนั้น “โฮจิมินห์” ได้คุมอำนาจเวียดนามตอนเหนือ นั่นแหละแกจึงภูมิใจในความเป็นเดียนเบียนฟูมาก

“พวกที่ให้ความสำคัญกับสีของน้ำตา มากกว่าเหตุที่ทำให้มันรินไหลออกมาสมควรถูกตอบโต้บ้าง”

แกพูดเน้นเขี้ยวเน้นฟัน ผลุนผลันออกจากห้องเมื่อจบประโยค สักพักมีเสียงปืนหลายนัดลั่นขึ้นที่บริเวณด้านหน้าร้านอาหารเวียดนามของแก

เอาละ ผมควรสรุปเรื่องนี้เสียที ผมยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ชั้นล่าง หลังเสียงปืนสงบ ผมพาตัวเองมายืนหน้ากระจก จ้องมองร่างแคระแกร็นของคุณเพียงครู่ แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณฟัง

อ้อ…เดี๋ยวนะ ก่อนจะจบเรื่องเล่านี้ ขอเวลาผมอธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย เมื่อครู่เถ้าแก่เจ้าของห้องเช่าโมโหจัด ผมจึงไม่อยากเอ่ยขัดอะไร คุณตั้งใจฟังผมนะ เรื่องที่ผมแขวนคอตัวเอง ที่จริงไม่มีใครโหดร้ายหรอก วิธีการที่ผมใช้ทรมานตัวเองขณะแขวนคอก็คือค่อยๆ ทิ้งร่างพลางจินตนาการเห็นชายร่างเล็กย่อตัวลงนั่งคุกเข่า ก็อย่างว่านั่นแหละ ประเทศกว้างใหญ่ แต่อึดอัดคล้ายอยู่ในที่แคบ เหมือนมีโซ่ตรวนพันธนาการชีวิตไว้ตลอดเวลา ดังนั้น ผมควรแขวนร่างไว้บนเสี้ยวดวงจันทร์ให้สิ้นเรื่องไป มันดีกว่าการเหวี่ยงขาขึ้นไปพาดไว้บนดวงดาวไม่ใช่หรือ

เอาละ คราวนี้ผมจะเปิดโอกาสให้คุณพูดบ้าง ส่วนผมจะหยุดพูดตั้งแต่นาทีนี้!