อาชญากรรม : ตะลึงดีเอสไอจอมปูด อ้างเตรียมจับ 3 สมเด็จ เซ่นคดีเงินทอนวัดฉาว แฉเคยเป็นถึงเจ้าอาวาส

เป็นอีก 1 มหากาพย์ที่ยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงที่จุดไหน

สำหรับคดีเงินทอนวัด ที่ตำรวจกองปราบปรามบุกจับกุมพระเถระตามหมายจับถึง 6 รูป

ส่งตัวดำเนินคดี ศาลไม่ให้ประกัน ต้องถูกจับสึก เข้าไปนอนในเรือนจำ

เหลืออยู่เพียงอดีตพระพรหมเมธี อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์

ที่หลบหนีคดีไกลถึงเยอรมนี พร้อมกับทำเรื่องขอลี้ภัยเรียบร้อย

แม้เจ้าหน้าที่ไทยนำโดย ผบ.ตร. จะบินด่วนไปติดตามตัว แต่ก็ติดขัดเรื่องขั้นตอนการพิจารณาของทางการเยอรมนี ซึ่งคงจะไม่เร็วนัก

เรื่องเก่ายังไม่คืบหน้า แต่ก็มีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก

เมื่อข้าราชการดีเอสไอโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุเจ้าหน้าที่เตรียมบุกจับ 4 พระผู้ใหญ่ ระดับสมเด็จราชาคณะในคดีเงินทอนวัด

สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทุกวงการ

แม้สุดท้ายดีเอสไอจอมปูดรายนี้จะถูกดำเนินคดีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

แต่ก็ทิ้งปริศนาไว้ว่าเป็นเรื่องที่มั่วขึ้นมา หรือเป็นการนำความลับมาเปิดเผย!??

ดีเอสไอปูดบุกจับ 3 สมเด็จ

กลายเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคมอย่างยิ่งยวดสำหรับคดีเงินทอนวัด ที่เกี่ยวพันกับพระผู้ใหญ่หลายต่อหลายรูปและวัดหลวงต่างๆ ในขณะที่การดำเนินคดีล็อตแรกดำเนินการไปตามขั้นตอน ก็มีเรื่องให้น่าตระหนก เมื่อพบว่านายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กองคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงแนวปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่

โดยระบุว่า “ข่าว ทำคดีเงินทอน เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ วัดพิชัยญาตฯ อีกวัดราชสิทธิครับ” และอีกข้อความคือ “ข่าว เตรียมจับ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ วัดพิชัยญาตฯ อีกวัดคาดว่าวัดบวรฯ ครับ”

ข้อความดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว เพราะคนโพสต์เป็นถึงข้าราชการระดับ 8

แถมผู้ที่ถูกพาดพิงว่าเกี่ยวข้องกับคดีเงินทอน และจะถูกบุกจับเป็นถึงพระผู้ใหญ่ระดับราชาคณะ

โดยเจ้าอาวาสวัดทั้ง 4 รูปที่ถูกพาดพิง ประกอบด้วย สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พรหมคุตโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และพระราชวิสุทธิโสภณ (ไชยวัฒน์ ชยวัฑโฒ) เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม

ข้อความเจ้าปัญหา

หลังการเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ ก็เกิดคำถามต่อหน่วยงานของรัฐขึ้นทันทีว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริงเหตุใดข้าราชการระดับสูงจึงนำข้อมูลออกมาโพสต์เล่น

ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นจริง ทำไมถึงนำข้อมูลที่น่าจะเป็นความลับเช่นนี้ออกมาเปิดเผย

จึงเป็นเรื่องที่กองปราบปราม ในฐานะที่รับผิดชอบคดีต้องออกมาทำความกระจ่าง โดยเชิญตัวนายพิสิฐชัยมาสอบสวน

ขณะที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ สั่งตั้งกรรมการสอบสวนว่ามีความผิดวินัย หรือจรรยาบรรณหรือไม่ เพราะถือเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังมอบหมายให้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายพิสิฐชัย ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

สั่งเด้งพ้นหน้าที่ทันที

พร้อมเปิดเผยผลการสอบถาม ซึ่งนายพิสิฐชัยยืนยันว่าเอาข้อมูลที่ฟังจากข่าวมาอนุมานเอาเอง แล้วโพสต์ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ อย่างไรก็ตาม ชี้แจงว่าดีเอสไอไม่เกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัด เพราะมีหน่วยงานดูแลคือ บก.ปปป. และกองปราบปราม

หลังจากเป็นข่าว นายพิสิฐชัยโพสต์เฟซบุ๊กอีกครั้ง โดยระบุว่า แก้ไขตามที่ข้าฯ ได้โพสต์เกี่ยวกับการดำเนินการวัดใหญ่ในกรุงเทพฯ 4 วัด โดยข้าฯ ติดตามข่าวจากสื่อสารมวลชนต่างๆ แล้วเข้าใจผิดคลาดเคลื่อน จึงขอแก้ไขข่าวว่าไม่มีการดำเนินการตามที่โพสต์แต่อย่างใด วัดที่โพสต์ไปมีวัดปากน้ำ วัดพิชัยญาติฯ วัดบวรฯ วัดราชสิทธิฯ จึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้

ถึงจะขอโทษก็ถูกดำเนินคดี

คุมตัวส่งกองปราบ

ประวัติ “พิสิฐชัย” สายธรรมะ

สําหรับนายพิสิฐชัย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอคนนี้ ไม่ได้เป็นคนหน้าใหม่ในวงการสงฆ์ เพราะขนาด พ.ต.อ.ไพสิฐยังระบุว่าเคยบวชพระ และเป็นถึงระดับเจ้าอาวาส มีความคุ้นเคยกับวงการสงฆ์เป็นอย่างดี

และเมื่อตรวจสอบประวัติ ทั้งจากที่เจ้าตัวโพสต์ในเฟซบุ๊กและแหล่งที่มาอื่น พบว่าเคยระบุว่าชื่อเดิมคือนายเรืองแสง ปรีชาธรรม โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงประทานชื่อและนามสกุลใหม่ว่า “พิสิฐชัย สว่างวัฒนากร”

แถมยังเคยเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ ลูกศิษย์พุทธทาส วัดสวนโมกข์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศฯ, สมณะโพธิรักษ์ วัดสันติอโศก และพระอริยมุนี (ศรี ฐิติพโล) วัดเทวราชกุญชร

ก่อนที่จะสึกออกมาแล้วเริ่มต้นทำงานเป็นกรรมกรแบกหามแถววรจักร และเป็นเด็กล้างจาน ระหว่างนั้นก็ไปเรียนนิติศาสตร์ รามคำแหง ใช้เวลา 2 ปีครึ่ง จบปริญญาตรี ระหว่างเรียนรามฯ ก็เข้ากลุ่มรามบูชาธรรม

จบเนติบัณฑิตไทย สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เคยทำงานที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนมาทำงานที่ดีเอสไอ

มีความใกล้ชิดกับคณะสงฆ์ จนได้รับความไว้วางใจจากมหาเถรสมาคม (มส.) ให้เป็นอนุกรรมการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร และผู้ช่วยเลขานุการ เมื่อสิงหาคม 2560

หนึ่งในผู้ทำคดีสหกรณ์คลองจั่น และคดีวัดพระธรรมกาย

สอบเครียด

นอกจากนี้ เมื่อปี 2559 พิสิฐชัยเคยเป็นหัวหน้าทีมเจรจาร่วมกับสำนักพระพุทธศาสนา เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เข้าเจรจากับวัดพระธรรมกาย ให้พระธัมมชโยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

เป็นหนึ่งในแคนดิเดตผู้ถูกเสนอชื่อให้นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คนที่ 8 แทนนายพนม ศรศิลป์ ที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากกรณีวัดพระธรรมกาย

แต่เมื่อมีคำสั่ง คสช. ออกมา ปรากฏว่าไม่มีชื่อของพิสิฐชัย โดยตกเป็นของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ซึ่งข้ามห้วยจากดีเอสไอมานั่งตำแหน่งดังกล่าว

มาวันนี้โด่งดังอีกครั้งจากการโพสต์เฟซบุ๊ก

ลืออีก-ค้นวัดเทพศิรินทร์

นอกจากกระแสเตรียมจับพระสมเด็จทั้ง 3 รูป ก็ยังมีข่าวลืออีกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมเข้าตรวจค้นวัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัด เนื่องจากวัดเทพศิรินทราวาสเป็นวัดที่ได้รับงบประมาณอุดหนุนสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมเมื่อปี 2556 จำนวน 10 ล้านบาท

ซึ่งเป็นงบประมาณเดียวกับที่วัดสามพระยาและวัดสัมพันธวงศารามฯ ได้รับสนับสนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

หลังจากข่าวแพร่สะพัดออกไป นายอำนวย ศรีตระกูลชัย ลูกศิษย์วัดเทพศิรินทราวาส เปิดเผยว่า จากที่มีกระแสข่าวมาทางเจ้าอาวาสและลูกศิษย์ต่างทราบกันดี แต่ทางเจ้าอาวาสบอกให้นิ่งและเงียบไว้ ไม่ต้องตอบโต้อะไร เนื่องจากวัดเทพศิรินทราวาสไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินทอนวัด

หากเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจค้นวัดเทพศิรินทราวาส ขอให้มาแบบถูกต้องตามกฎหมาย ในส่วนของกลุ่มลูกศิษย์นั้น พร้อมที่จะให้ตรวจค้น เนื่องจากทางวัดมั่นใจในความถูกต้องและบริสุทธิ์ จึงไม่มีความกังวลใดๆ เนื่องจากภายในวัดเป็นพื้นที่เปิด ไม่มีความลับแต่อย่างใด

ศิษย์วัดเทพศิรืนทร์ท้าตรวจ

แต่ขอว่าไม่อยากให้มองวัดเทพศิรินทราวาสในแง่ลบ เนื่องจากยังไม่ได้มาสัมผัสกับความจริง ซึ่งตั้งแต่มีกระแสออกมา ทางวัดยังดำเนินการตามปกติ ไม่มีการเพิ่มความเข้มงวดเข้า-ออก และอยากฝากถึงสำนักพระพุทธศาสนาฯ ที่ออกมาเปิดเผยว่าจะค้นวัดเทพศิรินทราวาสว่า หากไม่เป็นความจริง ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ จะต้องเป็นคนออกมารับผิดชอบ

ขณะที่รายงานข่าวสืบสวนกองปราบฯ ยืนยันว่า ไม่เป็นเรื่องจริง และไม่เคยจัดกำลังไปเข้าตรวจแต่อย่างใด รวมทั้งยังไม่เคยได้รับการประสานงานจากสำนักงานพระพุทธฯ แต่อย่างใดทั้งสิ้น เมื่อตรวจสอบกับตำรวจ บก.ปปป. และสำนักงานพระพุทธฯ แล้วก็ไม่มีการไปตรวจค้นแต่อย่างใด

เพราะการดำเนินการของกองปราบฯ ที่เข้ามารับผิดชอบนั้น ที่ผ่านมาได้เข้าตรวจค้นและจับกุมผู้เกี่ยวข้องไปจนหมดสิ้นแล้วด้วย

วัดเทพศิรินทร์ไม่ได้อยู่ในเป้าหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีมาตั้งแต่แรก เพราะไม่พบการกระทำความผิด รวมทั้งสำนักงานพระพุทธฯ ก็ไม่เคยแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษอีกด้วย

เชื่อว่าอาจเป็นการปล่อยข่าวจากกลุ่มลูกศิษย์ลูกหาของวัดดังที่มีพระในวัดถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ จึงอยากให้เกิดความวุ่นวายในสังคม และมีความพยายามจัดกลุ่มมวลชนมากดดันการทำงานของตำรวจด้วย

กว่าเรื่องนี้จะคลี่คลาย น่าจะมีข่าวลือกันอีกหลายระลอก