กสม.โต้สื่อ ยันมีหลักฐาน ‘ปู่คออี้’ เกิดในแผ่นดินไทยไม่ใช่พม่า

สืบเนื่องจากกรณีที่ปรากฏข่าวในรายงานของสื่อมวลชนบางสำนักระบุว่า “…ล่าสุด เจ้าหน้าที่มีหลักฐานชัดเจน จากกรณีที่นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เดินทางไปเยี่ยม คออี้ที่บ้านบางกลอย ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเพื่อติดตามความคืบหน้า โดยคออี้ได้เล่าให้นางเตือนใจฟังว่าตนเองนั้นเกิดที่ต้นแม่น้ำภาชี ใกล้ๆ กับบ้านพุระกำ จ.ราชบุรี ซึ่งไม่ใช่เกิดในประเทศไทย ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่มีการให้ข่าวตลอดมาว่า คออี้เกิดที่ใจแผ่นดินและอาศัยอยู่มานานนับร้อยปี…”

นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ถ้อยคำที่ปู่คออี้บอกเล่ากับตนในคลิปดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลที่ไม่ได้แตกต่างหรือขัดแย้งไปจากรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหรือเป็นที่รับทราบโดยทั่วไปก่อนหน้านี้แต่อย่างใด เนื่องจากพื้นที่ที่เรียกว่าบ้านใจแผ่นดินอยู่ในเขตจังหวัดเพชรบุรีซึ่งไม่ไกลจากบ้านพุระกำ จังหวัดราชบุรี โดยมีแนวสันเขาต้นน้ำลำภาชีแบ่งเขตกั้น ที่สำคัญพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตประเทศไทยไม่ใช่ประเทศพม่าตามที่มีการระบุในรายงานข่าวแต่อย่างใด ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับหลักฐานเอกสาร ทะเบียนสำรวจบุคคลในบ้านสำหรับชาวเขา หรือ ทร.ชข. ซึ่งสำรวจโดยกรมประชาสงเคราะห์ ระบุชัดเจนว่า ปู่คออี้เกิดเมื่อปี 2454 ที่จังหวัดเพชรบุรี บิดาชื่อนายมิมิ และมารดาชื่อนางพีนอคี นอกจากนั้นยังมีหลักฐานภาพถ่ายที่ปรากฏว่าปู่คออี้และกะเหรี่ยงใจบ้านแผ่นดินเดินทางไปหากำนันตำบลสวนผึ้งเพื่อนำของป่าไปขายยังตัวเมืองจังหวัดราชบุรี

นางเตือนใจ กล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างข่าวว่าปู่คออี้ไม่ได้เกิดในประเทศไทยอาจเป็นความพยายามในการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ในทางคดี ทำให้ศาลและประชาชนทั่วไทยเข้าใจว่า ปู่คออี้เป็นคนพม่าเข้ามาบุกรุกอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานไม่ใช่ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม นอกจากนั้นมีข้อสังเกตว่าตนลงพื้นที่ไปเยี่ยมปู่คออี้ที่บ้านบางกลอยตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2561 แต่เพิ่งมีการนำคลิปดังกล่าวออกมาเผยแพร่ ภายหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากรณีการเผาบ้านกะเหรี่ยงแก่งกระจานเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่ปู่คออี้และพวกรวม ๖ คน จะมีเจตนาแอบแฝงเรื่องอื่นหรือไม่ ทั้งนี้ ตนเองจะทำหนังสือเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องถึงกองบรรณาธิการของสำนักข่าวที่ได้เสนอข่าวในเรื่องดังกล่าว และเรียกร้องให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและมีความรอบคอบก่อนนำเสนอข่าว