อนุสรณ์ ติปยานนท์ : บทกวีของไคลน์

My Chefs (36)

อาหารยามจาริก8

“เมื่อเรือของเราล่องผ่านเข้าไปในถ้ำแห่งนั้น” ไคลน์เริ่มต้นรวบรวมความคิดอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเมื่อถึงตอนนี้ “กันมองเห็นแต่ความมืดมิด จู่ๆกันก็รู้สึกกลัวตาย กันคิดถึงหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ทำให้ลุล่วงไป กันคิดถึงภาระจำนวนมากที่ผูกพันกับกัน แม้ว่ากันจะยังไม่มีครอบครัว แต่กันก็มีน้องสาว หากกันตายจากโลกนี้ไปในดินแดนอันห่างไกล เขาจะทำเช่นไร กันคิดถึงเพื่อน คิดถึงคนรักที่แม้จะเลิกรากันไปแล้ว กันก็ยังหลงเหลือความรู้สึกผูกพันกับเธอ ทั้งความรู้สึกผิด ความรัก ความใส่ใจ ไม่น่าเชื่อว่าภายใต้ความมืดมิดนั้นทุกอย่างไหลผ่านมาสู่ตัวกันอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับกันเป็นจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ ทุกอย่างถูกฉายซ้ำในความคิดคำนึงของกัน ชีวิตในวัยเด็ก วันแรกที่กันลืมตาดูโลก วันแรกที่กันได้ดื่มนมจากทรวงอกของแม่ วันแรกที่กันเอ่ยทุกอย่างเป็นถ้อยคำ วันแรกที่กันไปโรงเรียน วันแรกที่กันแลเห็นขนที่อวัยวะเพศ วันแรกที่กันมีเพศสัมพันธ์ วันแรกที่กันดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ วันแรกที่กันสูบบุหรี่ วันแรกที่กันทดลองยาเสพติด สารพัดวันแรกที่กันจดจำมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นเหตุการณ์ที่ทำให้กันรู้สึกผิดก็ค่อยๆปรากฏตัวตามมา การโกหกครั้งแรก การลักโขมยครั้งแรก การหักหลังเพื่อนสนิท การฉ้อฉลให้ได้งาน การทำร้ายความรู้สึกของคนรัก การให้คำมั่นสัญญาที่ไม่อาจกระทำได้ สิ่งต่างๆเหล่านั้นทำให้ผู้คนรอบข้างกันเจ็บปวด ทำให้สังคมต่ำทรามลง ทุกอย่างปรากฏให้เห็นเป็นภาพที่ชัดเจน แจ่มชัดราวกับมีใครสักคนติดตามถ่ายภาพเหล่านี้ในชีวิตกันและพร้อมใจกันนำเสมอมันในคราเดียว”

“และแล้วความมืดก็หยุดยั้งลง ถ้ำทั้งถ้ำสว่างไสวโดยพลัน ผนังถ้ำอันมืดมิดกลายเป็นผนังกระจกแก้วอันสว่างสดใส และในภาพสะท้อนของผนังถ้ำนั้นเองที่ปรากฏภาพของแม่กัน”

ไคลน์หยุดการเล่าเรื่องของเขาลง เขาก้มหน้าและเริ่มต้นร้องไห้ สะอึกสะอื้นราวกับทารกน้อย ผมลุกขึ้นไปต้มน้ำร้อน เทใบชาบริเวณนั้นลงในกา ไคลน์ยังคงร้องไห้ต่อไป เสียงร้องของเขาขาดหายเป็นช่วงๆราวกับมีบางสิ่งจกในลำคอ ผมรู้สึกว่าเขาพยายามกลั้นสิ่งที่แลดูน่าอับอายนี้แต่มันไม่สำเร็จ

“ร้องออกมา ไคลน์” ผมกลับมาที่โต๊ะ เทน้ำชาจากกาให้เขา “ร้องออกมา ถ้ามันจะทำให้นายหายใจสะดวกขึ้น”

ไคลน์หยุดร้องไห้ในอีกสิบนาทีต่อมา เขาขอตัวไปห้องน้ำก่อนจะกลับมาในเสื้อผ้าชุดใหม่ เขาล้างหน้าล้างตา อาบน้ำ เเละกลายเป็นคนใหม่ ผมจุดบุหรี่ดอกไม้แดงของไคลน์ขึ้นสูบ พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานฟ้าคงมืดมิดลง แต่อย่างไรก็ตามมันคงไม่มืดมิดดังถ้ำที่ไคลน์ได้เคยเผชิญ

“แม่ของกันปรากฏตนในกระจกเหล่านั้น แจ่มใส และเบิกบาน กันรู้สึกราวกับว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ ผิวหนังของแม่แลดูสมจริง ทุกรอยเหี่ยวย่นของแม่แลดูสมจริง แม่มีอายุเท่ากับวันที่แม่จากโลกนี้ไป ไม่แก่ชราลง ไม่เยาว์วัยขึ้น แม่หยุดอายุไว้ในวันที่แม่จากไป กันแลเห็นสิ่งนี้ได้อย่างแจ่มชัดเหลือเกิน”

“ถึงตอนนี้ นายคงคิดว่ากันวิปลาสไปแล้ว แน่นอนกันเองก็คิดเช่นนั้น ทั้งหมดนี้เป็นภาพจากความฝันหรือว่ามันเป็นภาพที่กันจดจำมาจากภาพยนตร์ราคาถูกที่ชอบพูดถึงความตายและการกลับมาของผู้ตายหรือ กันสับสนในใจ วูบหนึ่งกันคิดถึงการกระโดดลงสู่ผิวน้ำเบื้องล่าง ถ้าทั้งหมดนี้เป็นความฝัน เมื่อร่างของกันหล่นลงกระทบพื้นน้ำ กันจะต้องตื่นขึ้นเป็นแน่ กันจับกราบเรือ เตรียมตัวจะกระโจนลงไป แต่แล้ว ช่วงเวลานั้นเอง แม่ของกันก็เรียกชื่อของกันขึ้น “ไคลน์ นี่ไม่ใช่ความฝัน อย่ากระทำอะไรเลย ลูกตื่นอยู่แล้ว ไม่มีการตื่นอื่นนอกจากนี้”

“กันตกใจแทบสิ้นสติเมื่อกันได้ยินเสียงพูดของแม่ แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสับสนไปกว่านี้ เรือของเราก็หยุดนิ่งลง และที่เบื้องหน้าเรือของเรานั้น แม่ของกันได้ออกจากภาพในกระจก หยุดยืน ล่องลอยในอากาศ แม่เริ่มต้นท่องบทกวีชื่อว่า …ของ เอมิลี่ ดิคคินสัน กันเคยฟังแม่อ่านบทกวีนี้ในงานไว้อาลัยของยายเมื่อตอนเป็นเด็กและนี่เป็นครั้งที่สองที่แม่อ่านบทกวีนี้ ในยามที่แม่ไม่มีชีวิตแล้ว และกลายเป็นภาพโปร่งใสในอากาศ”

“If I should die

And you should live

And time should gurgle on

And morn should beam

And noon should burn

As it has usual done

If birds should build as early

And bees as bustling go

One might depart at option

From enterprise below

Tis sweet to know that stocks will stand

When we with daisies lie

That commerce will continue

And trades as briskly fly

It make the parting tranquil

And keeps the soul serene

That gentlemen so sprightly

Conduct the pleasing scene”

ไคลน์ท่องบทกวีชิ้นนั้นให้ผมฟัง อย่างช้าๆและชัดถ้อยชัดคำ เบื้องนอกนั้นทุกอย่างมืดมิดไปหมดแล้ว สิ่งที่น่าแปลกและชวนให้ผมรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาคือเสียงของไคลน์ในขณะท่องบทกวีว่าด้วยความตายที่จะมาถึงของดิคคินสัน เสียงของเขาเปลี่ยนจากเสียงของชายหนุ่มเป็นเสียงของหญิงชราชาวอังกฤษ ทั้งสำเนียงและเสียงอันสั่นเครือในหลายครั้ง ผมไม่เชื่อในสิ่งที่ลี้ลับหรือการซ้อนทับของโลกที่มองไม่เห็น แต่ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเสียงท่องบทกวีที่ผมกำลังสดับตรับฟังอยู่นี้นั้นเป็นเสียงแม่ของไคลน์ หรือจิตวิญญาณแห่งความเป็นแม่ของไคลน์ที่ฝั่งอยู่ในตัวเขา หรือไม่ก็ผมได้ถูกพาไปตกอยู่ในถ้ำแห่งนั้นพร้อมกับไคลน์ ทุกอย่างเป็นไปได้หมดในยามนี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

ไคลน์จบบทกวีของเขา ผมมองหน้าของไคลน์ และแล้วผมก็คิดถึงแม่ของตนเอง มีอะไรจุกอยู่ในลำคอของผม เรื่องเล่าของไคลน์แปรเปลี่ยนจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่เป็นผมกับแม่แทน ผมเห็นภาพตนเองนั่งอยู่ในเรือลำนั้นกับไคลน์ เบื้องขวาเป็นภาพสะท้อนแม่ของไคลน์ในกระจก เบื้องซ้ายเป็นภาพสะท้อนของแม่ของผมในกระจก เราสองคนกำลังเผชิญหน้ากับแม่ของตนเองที่จากโลกนี้ไปแล้ว เราสองคนกำลังเปิดใจสื่อสารกับความทรงจำต่อแม่ของเราที่ไม่เคยจากไป และในความเงียบนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงของไคลน์ดังก้องไปทั่วถ้ำ

“กันจะไม่แปลบทกวีนี้หรืออธิบายอะไรให้นายฟัง นายคงเข้าใจทุกอย่างได้ ในขณะที่กันฟังแม่ท่องบทกวีนี้ กันคิดถึงอาหารมื้อแรกที่กันได้ลิ้มรสในโลกนี้ มันเป็นสิ่งที่ถูกส่งผ่านมาจากสายรกในขณะที่กันอยู่ในครรภ์ของแม่ ความหอมหวาน ความอิ่มเอม การได้ลิ้มรสสิ่งเหล่านั้นโดยไม่ต้องออกแรงแสวงหา เป็นครั้งแรกที่กันเข้าใจคำว่าคุณค่าของอาหาร มันคือการย่อยสลายของแร่ธาตุ ให้การเติบโต ให้ชีวิต เรากินอาหารทุกอย่างที่แม่ของเรากินและลิ้มรส อาหารเป็นสื่อกลางระหว่างแม่กับเรา อาหารคือสื่อกลางของชีวิตแม่ของเรากับชีวิตเรา อาหารคือสื่อกลางระหว่างแม่ทุกคนในโลกกับลูกทุกคนในโลกนี้”