ทวีปที่สาบสูญ ร่างกายของฉัน

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนเหมือนแสงแดดนอกหน้าต่างจางสิ้นไป จะเข้าสู่ช่วงพลบค่ำย่ำเย็น แม้แดดยังทิ้งไออ้าวผ่าวไว้ แต่ก็ราวมีสายน้ำไหลระรินอยู่เงียบๆ

เด็กผมขอดยังคงซุกแนบกับอกอยู่

แขนขาวๆ กลมกลึงสอดเข้ามากอดตัว หัวทุยมีกลิ่นหอมอ่อน

อดลูบมือกับเส้นผมเบาๆ ไม่ได้

“…ทาแป้งอะไรหรือ”

“คะ” ตาสีน้ำตาลเงยขึ้นสบ

“หอมดี” ฉันจรดจมูกเข้าที่กระหม่อมหนหนึ่ง

คล้ายไหล่จะไหว ปิมปาก้มหน้างุดลง

“แป้งจอห์นสัน”

“อืม…” ฉันจรดจมูกลงอีกที “กลิ่นดีนะ พี่ชอบ”

มีความเงียบเกิดขึ้นหลังจากนั้น ฉันไม่แน่ใจว่าปิมปากำลังคิดหรือรู้สึกอะไร แต่สายน้ำยังไหลรินอยู่ และนั่นก็เพียงพอ

“พี่ ชวนน้องลงมากินข้าว!”

เสียงแม่ตะโกนแว่วๆ ขึ้นมา

ปิมปาขยับตัว

“แม่เรียกแล้ว” ฉันบอกกับเด็กผมขอด

เด็กหญิงดึงแขนออกอย่างอิดเอื้อนเหมือนไม่เต็มใจ แล้วก็นิ่วหน้า

“มีอะไร?” ถามเมื่อเห็นสีหน้า

“ขาเป็นเหน็บ” ใบหน้าที่ยังขาวนวลนักหนายิ้มเจื่อนๆ “พี่อย่าหัวเราะสิ มันไม่ได้ตลกนะ”

“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“พี่จะหัวเราะ ปิมรู้”

ทำคล้ายจะค้อนควัก ตาหรุบต่ำ ปากเชิดงอนขึ้น จนทำให้ต้องหัวเราะออกมาจริงๆ

“ไปเลียนแบบใครมา หนูปิม”

“เปล่า”

“แน่ะ ดูทำหน้า หรือว่าไปเอาอย่างแก้มหอมเขา”

อดเย้าหยอกไม่ได้ เพราะเท่าที่คิดออก คงจะมีแต่แก้มหอมเท่านั้นในแถบแถวนี้ ที่มักทำหน้าอย่างนี้อยู่บ่อยๆ

และตามปกติของปิมปา ถ้าไม่นั่งนิ่งเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ ก็มีแต่น้ำหูน้ำตา

 

อย่างนานมาแล้ว เคยมีอยู่หนหนึ่ง อากาศเยียบเย็นด้วยย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ใกล้ตะแบกที่ยืนเคียงต้นดูก ดอกเอื้องมอนไข่กำลังผลิดอกบนคาคบ ส่งกลิ่นหอมเย็น

เด็กผมขอดยืนป้ายน้ำมูกบนหน้า น้ำตาคลอตา

[“…ปิมอยากได้ ขอให้ปิมเถอะนะ เอาให้ปิมเถอะนะ”

พูดซ้ำๆ เป็นนานสองนาน จนอ้ายหมารอยทนไม่ไหว

“เอ๊…ปิมนี่! น่ารำคาญจริงๆ ถอยไปได้มั้ย! เดี๋ยวโดนหินเขวี้ยงลงหัวหรอก”

“พูดดีๆ หน่อยสิรอย!” ฉันแทรกเข้าไป

“ยายมึงไม่เคยสอนหรือไง ให้พูดกันเพราะๆ ดีๆ”

“โอ้ย…!!”

เด็กชายอ้ายหมารอยทำท่าโก่งตัวหัวเราะ แล้วขากน้ำลายถ่มถุยแบบที่ชอบทำเสมอ

“จะพูดเพราะไปทำไม อีปิมน่ะน้องกู พูดยังไงก็ได้ มึงไม่เกี่ยว!”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว! ยายกูเป็นพี่ยายมึง!”

หมารอยหัวเราะลั่นอีกหน หันไปพยักพเยิด

“มึงดูอ้ายออม ดูอีพี่มันว่า ยายมันเป็นพี่ยายกู แต่ตัวมันอายุก็น้อยกว่ากู ตัวรึสูงกว่าอีปิมหน่อยเดียว ทำเป็นเก่ง”

กระออมหน้าแหย หันไปบอกปิมปา

“ตัวก็อย่าร้องนักสิ รู้อยู่ว่ารอยไม่ชอบ”

“ก็ปิมอยากได้…เอาให้ปิมหน่อยไม่ได้เหรอ ปิมอยากได้ นะ นะ ปิมอยากได้”

“โว้ย!”

รอยขว้างหินลงพื้นอย่างหัวเสีย

“ยังไม่หยุดร้องเสียที ไม่กงไม่กินมันละลูกดูก อยากได้ดอกนักก็หาทางกันเอาเอง ไป! อ้ายออม เล่นน้ำกันดีกว่า เบื่อผู้หญิง! รำคาญ!!”

ไม่นานนัก สองเด็กชายก็พากันหายไป อ้ายหมารอยนั่นเองโอบแขนรอบคอเด็กกระออมอย่างพี่ใหญ่

ใต้ต้นไม้ที่มีลูกดูกสุกเหลือง แต่ยากเกินกว่าจะสอยลงมากินได้ ดอกเอื้องนั้นยิ่งสูงไกลกว่าจะหวังถึง

ฉันเข้าไปยืนจับไหล่เด็กหญิง จ้องส่องหน้า

“หนูปิม…ฟังพี่นะ เอื้องอยู่สูง ไม่มีใครเก็บให้หนูปิมได้ พี่ก็ปีนไม่เป็น หยุดร้องได้ไหม”

ใบหน้าเล็กๆ ส่ายไปมาอย่างดึงดื้อ น้ำตาเต็มตา

“ทำไมปิมอยากได้อะไร ไม่มีใครเอาให้ปิมได้เลย ปิมอยากได้ ก็ปิมอยากได้!”

“หนูปิม”

ดึงตัวมากอด ฉันรู้ว่าปิมปาเป็นลูกไม่มีพ่อ นานๆ สักทีแม่จึงจะกลับมา ตั้งแต่มาอยู่กับยายร่อย ก็ใช่ว่าจะมีความอบอุ่นมอบให้

ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ สิ่งที่ญาติผู้น้องได้เจอ…

“เอาไว้พี่จะให้พ่อมาสอยไปติดในบ้านเรานะ ปลูกเตี้ยๆ ดีไหม ถ้าเอื้องออกดอกจะได้เก็บให้ปิมง่ายๆ”

“บ้านเรา…บ้านไหนคะ”

“บ้านพี่ไง”

ตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ ฉันก็นึกถึงการมีบ้านของตัวเอง อาจเป็นความฝังใจจากหนังสือที่เคยอ่านก็ได้

บ้าน…หมายถึงอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ในที่ของตัวเอง…ไม่ใช่หรือ

“อีกหน่อยพี่จะมีบ้านหลังโตๆ”

ฉันกางมือออกกว้าง

“จะปลูกดอกไม้ที่หนูปิมชอบทุกอย่างเลยดีไหม อยากได้อะไรบ้างล่ะ ดอกเอื้อง ดอกบัวระวงศ์ มหาหงส์ ดอกอูน…หรือจะเอาพวกมะไฟ มะแฟน ปลูกไว้กินเยอะๆ แตงโมด้วยเอ้า!”

ปิมปาชอบกินแตงโม เคยยิ้มกว้างปากถึงหู กัดแตงหวานฉ่ำจนแก้มเป็นสีชมพู

เด็กน้อยชักยิ้มออก

“ก็ดีนะคะ งั้นปลูกมะม่วงงาด้วย ปิมชอบกิน หวานกว่ามะม่วงแก้วตั้งเยอะ”

ฉันรีบพยักหน้ารับคำ

“เอาสิ ปลูกมะปินด้วยก็ได้ ปิมชอบกินเหมือนกันไม่ใช่เหรอ หวานๆ หอม…”

แล้วฉันก็จิ้มนิ้วไปที่แก้มนั้น

“หอมเหมือนแก้มหนูปิมเลย…”]

 

ปีนี้ปิมปาอายุเท่าไหร่แล้วนี่ ดูจากใบหน้าและรูปร่างเนื้อตัว…ก็เหมือนตัวฉัน เราต่างเติบโตกันขึ้น แขนขายาวกว่าเก่า แต่ขณะฉันเริ่มผมยาว น้องสาวของรอยกลับตัดผมสั้นเพียงติ่งหู เปิดต้นคอขาวผ่อง หากเส้นผมที่เคยขอดพันยังหยิกหยักอยู่อย่างนั้น

ฉันจากหมู่บ้านไปนานอย่างไม่น่าเชื่อ…ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ

โดยเฉพาะเมื่อได้พบเด็กหญิงคนนี้อีกครั้ง

“หนูปิม”

อดส่งเสียงออกไปไม่ได้

“คะ”

“ก้มหน้าทำไม เป็นอะไร”

“เปล่า”

“พี่ไม่ได้หัวเราะปิมสักหน่อยนะ”

ไม่มีคำพูด

“โธ่เอ๋ย ไหนล่ะ พี่หัวเราะตรงไหน ได้หัวเราะสักทีหรือยัง…มานี่มา”

ฉันรั้งร่างนั้นเข้ามาในอ้อมกอดอีกหนหนึ่ง หนนี้ รู้สึกถึงแรงแข็งขืนเล็กน้อย

“ไม่ต้องกอดปิมหรอก”

“อ้าว” ฉันจับคางคนพูดให้หันมา “แล้วตะกี้ใครเป็นคนเข้ามากอดพี่”

หนนี้เด็กหญิงกลับสลัดตัวออก

“ปิมจะกลับแล้ว”

ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กหญิงแสดงออกมา…คิดว่า เริ่มไม่เข้าใจ

“เป็นอะไรน่ะปิม พี่ก็พูดกับเราดีๆ นี่นา”

“พี่น่ะไม่รู้อะไรหรอก!”

“อะ แล้วมันอะไรเล่า”

อดจะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ คุยกันอยู่ดีๆ สายน้ำที่ไหลรินแผ่วเบาอ่อนหวาน กลับพลันแปรสาย

“แม่เรียกอีกละ…ไปกินข้าวกัน”

“ปิมจะกลับไปกินกับยาย”

ฉันมองหน้าเด็กผมขอดอย่างเคลือบแคลงใจ

แม้ร่างกายยังรู้สึกอ่อนเพลีย แต่ก็ไม่อยากจะปล่อยมันผ่านไป

“ปิมเป็นอะไร พูดกันดีอยู่แท้ๆ”

“พี่ไปกินข้าวเถอะ”

“หนูปิม!”

ฉันกระชากแขนขาวนั้นไว้

 

ฉันไม่เคยตั้งใจทำให้ปิมปาเจ็บ ไม่เคยเลย แต่อาจเพราะเกือบลืมไปแล้วว่า ที่ผ่านมา ปิมปาเคยเจ็บมาแล้วเท่าไหร่

ฉันเกือบลืมไปจริงๆ ว่าเด็กหญิงเคยนอนขดตัวงอบนพื้น มีลุงที่เมามายยืนตาขวางเหนือร่าง กลิ่นน้ำเหล้าสาบสาง

ลุงคว้าแขนปิมปา ผลักจนเซถลาล้มลง ก่อนจะง้างขาเข้าใส่

เสียงกรีดร้องของเด็กผมขอด เคยสั่นสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ

ฉันเพิ่งนึกถึงมันขึ้นมาได้ เมื่อเห็นแววตาระริกไหวสั่น กับอาการคล้ายจะชักเกร็งขึ้นมา

“หนูปิม!”

มีแต่ตัวฉันเท่านั้นที่ควรค่าแก่การโกรธเกรี้ยว ในความโง่ง่าวของตัวเอง มีแต่ฉันเท่านั้น ที่เป็นเสนียดจัญไรกับใครๆ และกับตัวเอง

“หนูปิม!..!” ฉันเขย่าตัวเด็กผมขอด เมื่อเห็นนัยน์ตาที่เบิกกว้างอย่างหวาดกลัวเหลือแสน

“นี่พี่นะ…นี่พี่เอง หนูปิม นี่พี่เอง!”

ฉันกอดรัดเด็กหญิงเอาไว้ น้องสาวของอ้ายหมารอยผู้หายสาบสูญไปแล้วจากชีวิตฉัน แต่น้องของมันยังอยู่ เช่นเดียวกับตัวฉัน

ร่างกายของฉันจะพอปกป้องร่างนี้ได้ไหม ฉันรู้สึกได้ถึงความสับสนที่พุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้ง ขณะปิมปาสำลักออกมาแรงๆ และซวนเซอย่างจะล้มลง