คนโดนสิงห์ : “เปิดแผล” อย่างเป็นทางการ

คอลัมน์ Technical Time-Out


แม้การโดน “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ยิงไม่ไว้หน้า 5-0 น่าจะเป็น “วาระเร่งด่วน” ที่ “ลิเวอร์พูล” และ “เจอร์เก้น คล็อปป์” ต้องรีบทบทวน

แต่หากมองอีกมุมเหมือนเป็นเรื่องปกติในวงการฟุตบอลที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ และไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมใหญ่ “ยำกันเอง”

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซัดอาร์เซนอลไม่เลี้ยง 8-2 ก่อน เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องนั่งหน้าชาเห็น “เพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญ” แมนฯ ซิตี้ ลูบคมถึงโอลด์แทรฟฟอร์ดครึ่งโหล หรือลิเวอร์พูลเคยหวด 2 ทีมดังคาเมืองแมนเชสเตอร์หนละ 4 ตุ้บก็มีมาแล้ว

แต่การขายขี้หน้าครั้งนี้ของคล็อปป์ คล้ายเป็นการ “เปิดแผล” อย่างเป็นทางการ

 

อันที่จริง ถ้าใครติดตามการทำทีมกุนซือเมืองเบียร์รายนี้ เอาแค่เฉพาะการเข้ามารับตำแหน่งนายใหญ่ในแอนฟิลด์ เรื่องเดิมๆ ที่ควรแก้ตั้งแต่วันแรกยันวันนี้ จะบอกว่าคล็อปป์ไม่ทำเลยก็ได้ เพราะถ้าทำแล้วลิเวอร์พูลคงไม่เป็นแบบนี้

“แบบนี้” ยังไง? ทีมคล็อปป์ และแฟนหงส์โลกสวยคงสงสัยว่า อดีตโค้ชโบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ ผู้มีเกียรติประวัติห้อยติงไว้ในวิกิพีเดียว่า เคยเจียดถาดแชมป์ลีกบุนเดสลีก้าจากมหาอำนาจบาเยิร์น มิวนิก 2 ครั้ง ทำทีม “หงส์แดง” จนมีเกมรุกน่าตื่นตาตื่นใจได้ขนาดนี้ ยังจะเรียกร้องเอาอะไรอีก!

ตอบแบบไม่ต้องอ้อมค้อมเลยว่า กุนซือที่มีความหิวกระหายมาลงเอยกับยักษ์หลับร้างแชมป์ลีกมานาน 25 ปี จุดมุ่งหมายของพวกเขาคืออะไร หากไม่ใช่การพาลิเวอร์พูลกลับมาคว้าแชมป์ลีกเมืองผู้ดีอีกรอบ

แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนตอนคุม” “เสือเหลือง” หักหน้า” “เสือใต้” เนื่องจากที่นั่นแทบไม่มีใครหน้าไหนต่อกรกับบาเยิร์น เต็มที่ก็ดอร์ตมุนด์ หรือทีมอื่นแค่ผลัดขึ้นมาท้าทายเท่านั้น เหตุด้วยอำนาจเงินสุดมั่งคั่งของเสือใต้ และรายได้อันน้อยนิดของลีก เมื่อเทียบ” “ที่นี่พรีเมียร์” เรื่องเงินไม่ต้องพูดถึง ขนาดทีมหล่นชั้นยังได้ค่าทำขวัญระดับร้อยล้านปอนด์

การลงทุนของบรรดานักธุรกิจ และมหาเศรษฐี ที่ทั้งหิวเงิน และบ้าบอลจริงๆ ต่างจับจ้องมาที่อังกฤษ จนเกิดทีมอย่าง “แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, อาร์เซน่อล, สเปอร์ส” หรือแม้แต่ “ลิเวอร์พูล” ขึ้นมาฟาดฟันกับ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ซึ่งร่ำรวยเงินทองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ดังนั้น การมาบรรจบกันระหว่างคล็อปป์กับลิเวอร์พูล จะมีปลายทางอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ถ้วยพรีเมียร์ลีกใบแรก แต่เป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 19 ในประวัติศาสตร์สโมสร

 

ทว่า อย่างที่บอกไว้ว่ามันไม่ง่าย และต้องใช้เวลาเพาะบ่ม หากไม่ฟลุก เก่งบวกเฮง ยิงยาวยันแชมป์เหมือน “เลสเตอร์ ซิตี้” ทำได้เมื่อ 2 ฤดูกาลจริงๆ แต่ไอ้เรื่องเดิมๆ ที่ทีมหงส์แดงหลายปีหลังก้าวไม่พ้น ยังตามหลอนไม่เลิก ทั้งเกมรับยากเยียวยา หรือเกมรุกดีแต่ป้อล่อไม่เป็น และชอบตายน้ำตื้นแจกแต้มทีมเล็ก

สิ่งที่ว่ามาเหล่านี้ นอกจากจะแก้โจทย์เก่าที่โค้ชคนก่อนๆ และทีมงานเมลวู้ดทิ้งไว้เป็นภาระไม่ได้แล้ว คล็อปป์กับอีก 2 ผู้ช่วย เซโก้ คาลัช และ ปีเตอร์ คราเวียตซ์ ยังเปิดปากแผลอื่นๆ ขึ้นมาอีก มีเพียงเกมรุกอันบ้าคลั่ง และลูกบู๊สุดชีวิตเวลาเจอทีมใหญ่ด้วยกันเท่านั้นที่ 3 เกลอทำได้อย่างไม่มีที่ติ ที่เหลือพวกเขากำลังจะกลายเป็น “ตัวตลก” โดยมีคล็อปป์เป็นหัวหน้าคณะ

ไม่ว่าจะเป็นเกมรับที่เสียประตู 121 ลูกจาก 108 นัดที่คล็อปป์คุมทุกรายการ นับจากวันแรกเปิดบ้านเสมอสเปอร์สไร้สกอร์ในเกมลีกตุลาคม 2015 จนบุกแพ้เลสเตอร์ 0-2 ศึกลีกคัพรอบ 3 ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งมาจากการเสียท่าด้วย” “ลูกโด่ง” ถึง 58 ลูก ทั้งจากจังหวะโอเพ่นเพลย์, เตะมุม และฟรีคิก

เรียกได้ว่าเวลาคู่แข่งคิดอะไรไม่ออก แต่อยากทำประตูลิเวอร์พูลเต็มแก่ ขอแค่สาดบอลยาวเข้าไปก็พอ เดี๋ยวเรื่องบันเทิงก็เกิดขึ้นเอง

 

แถมหลังเกมลีกคัพที่คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม คล็อปป์ด่าเกมรับทีมตัวเองออกสื่อว่า สะอิดสะเอียนกับการเสียประตูด้วยลูกโด่งเต็มที บ่งบอกได้ในทันทีว่าเขาไม่เคยแก้ปัญหาการรับมือลูกกลางอากาศอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีบทเรียนเรื่องลูกโด่งมาให้อ่านเป็นรอบที่ 58 เหมือนที่” “เดอะ ค็อป” เห็นแต่นักเตะเลสเตอร์ขึ้นโหม่งบอลชงกันไปมา ก่อนจบลงที่ก้นตาข่ายเต็ม 2 ลูกกะตา

นี่ยังไม่รวมบาดแผลที่คล็อปป์, คาลัช และคราเวียตซ์ ร่วมกันทำไว้ ทั้งเกมรับห่วยแต่ไม่ใช่กองกลางตัวตัดเกมโดยอาชีพคอยช่วยพยุงกองหลัง รู้ว่ารับไม่ได้เรื่องก็ชอบให้เล่นเกมรับปิดเกม จนถูกแบ่งแต้มหรือกลับมาแพ้ก็เยอะ เล่นบอลมิติเดียวคือบุกๆๆ แล้วก็บุก เกมรุกอาจสุดยอดแต่ยิงทิ้งยิงขว้างเป็นว่าเล่น ลูกน่ายิงกลับส่ง ลูกน่าส่งกลับยิง จนติดเป็นนิสัย และขาดความคมยามต้องการประตูจริงๆ เจอคู่แข่งลงไปอุดก็เจาะไม่เข้า แรกๆ ให้อภัยได้ แต่นี่คุมทีมมาเป็นหลักร้อยนัดก็ยังแก้ไม่ตก

ก่อนหน้านี้ หลายคนอาจมองพวกนี้เป็นแค่ปัญหาหยุมหยิม แต่หลังแมนฯ ซิตี้ แบะปากแผลให้กว้างขึ้น…มันคงไม่ใช่อีกแล้ว