อกหักการเมือง | หนุ่มเมืองจันท์

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันก่อน น้องที่เป็นฝ่ายบริหารของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งบ่นว่าตอนนี้ละครโทรทัศน์หรือรายการบันเทิงเรตติ้งตกมาหลายเดือนแล้ว

แต่เรตติ้งรายการข่าวกลับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งจนถึงวันนี้

เธอสรุปว่ากระแสการเมืองมาแรงมาก คนติดตามแต่เรื่องการเมือง ไม่สนใจดูละคร

“อาจเป็นเพราะการเมืองไทยวันนี้สนุกกว่าละคร ซับซ้อนยิ่งกว่าซีรีส์เกาหลี”

ครับ ใครจะไปนึกว่าคนไทยที่ชอบอะไรที่สนุก ยังเปลี่ยนมาติดตามการเมืองเลย

ไม่แปลกที่ตอนนี้รายการบันเทิงแนวสัมภาษณ์จะปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการสัมภาษณ์คนในแวดวงการเมือง

เพราะเรตติ้งสูงกว่าสัมภาษณ์ดารา

ส่วนในช่องทางโซเชียลมีเดียยิ่งเห็นชัด ยอดคนดูสูงมาก

ยอดหลักแสนเป็นเรื่องไม่ยากสำหรับข่าวหรือรายการวิเคราะห์การเมือง

ไม่เชื่อลองไปดูใน “มติชนทีวี” สิครับ

หรือรายการข่าวทางทีวีช่องต่างๆ ก็ปรับเปลี่ยนมาเพิ่มช่วงเวลาพิเศษในเพจและยูทูบ

จบรายการปกติทางสถานีเสร็จก็ต่อทางเพจและยูทูบเลย

ไม่ว่าจะเป็น “เจาะลึกทั่วไทย” หรือ “โหนกระแส”

ล่าสุด “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ก็เขย่าวงการอีกครั้ง

จบจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เขาก็ตัดเข้าสู่การถ่ายทอดสดในรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” ทางเพจและช่องยูทูบของเขา

สัมภาษณ์นักการเมืองยาวเหยียด

ตบท้ายด้วยการร้องเพลง

เรตติ้งกระฉูดเลยครับ

นอกจากนั้น ยังตัดเป็นคลิปสั้นๆ อีก

คลิปสั้นบางคลิปจะมีคนดูมากกว่าคลิปรายการเต็มหลายเท่า

ในเชิงธุรกิจ รายได้ส่วนนี้จะไม่เข้ากระเป๋าเจ้าของสถานีโทรทัศน์ แต่จะเป็นรายได้ของผู้จัดรายการ

ไม่ว่าจะเป็นพี่ดนัย “หมาแก่” ของ “เจาะลึกทั่วไทย”

หรือ สรยุทธ และ “หนุ่ม” กรรชัย

ในมุมหนึ่งถือเป็นการดึงคนดูจากรายการทางโทรทัศน์มาที่เพจหรือช่องยูทูบ

ให้ต่อเนื่องกันไปเลย

ซึ่งการจัดรายการทางโซเชียลมีเดีย ข้อบังคับจะน้อยกว่าทีวี

หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีกติกาก็ได้

เนื้อหารายการจึงจัดเต็มได้กว่าทีวี

คนดูชอบ

โฆษณาก็เริ่มเข้า

ถ้าคิดแบบธุรกิจดั้งเดิม เจ้าของช่องอาจไม่พอใจ เพราะเหมือนกับอาศัยรายการของช่องมาต่อยอดหารายได้เข้าตัว

แต่ถ้าคิดแบบธุรกิจสมัยใหม่ที่เข้าใจ “ความเปลี่ยนแปลง” ว่าอิทธิพลของทีวีลดลงแล้ว

ทุกคนสามารถมีช่องของตัวเองได้

การเปิดทางให้ทุกคนจัดรายการต่อเนื่องได้ ถือเป็นกลยุทธ์การดึงให้ “ซูเปอร์สตาร์” เหล่านั้นให้ยังอยู่ที่ช่อง ไม่ไปไหน

เป็นการ “กินแบ่ง” ไม่ใช่ “กินรวบ”

 

แม้จะรู้ว่ากระแสการเมืองวันนี้แรงมาก

แต่มารู้สึกชัดเจนเมื่อไปงานเลี้ยงรุ่น ABC

ผมทำหลักสูตร ABC กับ “โจ้” ธนา เธียรอัจฉริยะ และ “พี่เหน่ง” ดร.รัชนีพร พุคยาภรณ์ พุกกะมาน อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีปทุม

ทำมา 10 ปี ตอนนี้เป็นรุ่น 14 รุ่นสุดท้ายแล้วครับ

แต่ละรุ่นก็มีการจัดงานเลี้ยงรุ่นอยู่เรื่อยๆ

วันพุธที่แล้ว มีงานเลี้ยงรุ่น ABC1

เชื่อไหมครับ ตั้งแต่เดินเข้างาน ทักทายคนได้ไม่กี่คนก็มีคนชวนคุยเรื่องการเมือง

เพราะน้องๆ เขารู้ว่าผมทำรายการ The Power Game อยู่

คุยจบหันไปทักอีกกลุ่มหนึ่ง

มีคนขอให้วิเคราะห์เรื่องการเมืองอีก

เชื่อไหมครับว่า อยู่ในงานประมาณ 4 ชั่วโมง ยังทักน้องๆ รุ่น 1 ในงานประมาณ 70 คนไม่ครบเลย

เพราะมีคนชวนคุยแต่เรื่องการเมืองตลอด

จนตอนหลังต้องบอกว่า “ผมคุยเรื่องอื่นได้นะครับ ไม่ใช่คุยได้แต่เรื่องการเมือง”

หลังจากนั้นอีก 2 วัน มีงานของรุ่น 13

ผมติดงานผู้ใหญ่ตอนเย็น เลยตามไปตอนค่ำ

เข้าไปถึงทักทายน้องได้ 3-4 คนก็มีคนหนึ่งชวนคุยเรื่องการเมือง

คุยในร้านเสียงดัง คุยไม่สนุก

น้องเลยดึงมือมานั่งข้างนอก

โห…มีคนเดินตามมาเป็นกลุ่มเลยครับ

มาขอฟังเรื่องการเมืองด้วย

คุยวงนี้เกือบชั่วโมง เดินเข้าไปทักทายน้องข้างใน

เหมือนเดิมครับ

น้องยกมือไหว้แล้วถามเรื่องการเมืองอีก

ตั้งแต่เดินเข้าจนเดินออกจากงาน ผมทักน้องๆ ได้ไม่ถึงครึ่งเลย

เพราะเจอ “หลุมดำ” การเมืองดักไว้

ไปงานเลี้ยง 2 งานรู้เลยว่าความสนใจการเมืองวันนี้สูงมากจริงๆ

ที่สำคัญก็คือ ได้รับรู้อารมณ์ความกรุ่นโกรธของคนที่เพิ่งเลือกตั้งเสร็จ

น้องทุกคนตั้งคำถามถึง ส.ว. 250 คนที่มาจากการแต่งตั้ง

พวกเขามีสิทธิอะไรที่ปฏิเสธ “ตัวแทน” ของเสียงส่วนใหญ่

เป็นอารมณ์ที่คั่งแค้นอยู่ข้างใน

เหมือน “น้ำเดือด” ที่รอการระบาย

 

ในงานมีน้องคนหนึ่งเดินมาคุย

เขาบอกว่าตอนนี้ความรู้สึกเกินคำว่าโกรธแล้ว

แต่เป็นความรู้สึก “เศร้า” มากกว่า

เศร้ากับการเมืองไทย

เศร้ากับสังคมไทย

ตอนที่ระบาย นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ

ไม่รู้ว่าจะร้องไห้ หรือเมา

อย่าว่าแต่ชาวบ้านที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเลยครับ แม้แต่คนในแวดวงข่าวที่ผ่านข่าวการเมืองมายาวนานยังเครียดเลยครับ

มีเพื่อนที่ยังอยู่ในวงการข่าวบ่นว่าตอนนี้รู้สึกว่าเครียดมาก

ดูข่าวแล้วเครียด

เป็นความรู้สึกเหมือน “คนอกหัก”

เพราะหลังการเลือกตั้ง กลุ่มพรรคฝ่ายค้านชนะพรรคร่วมรัฐบาลขาดลอย

ใครๆ ก็นึกว่าจะปิดสวิตช์ 3 ป.

ยุติการสืบทอดอำนาจของ คสช.ได้แล้ว

ส.ว.ที่เคยประกาศว่าจะโหวตตามเสียงส่วนใหญ่คงจะรักษา “สัจจะ”

แต่สุดท้ายก็เจอเกมของ “ผู้มีอำนาจ”

นอกจากใช้ ส.ว.เป็นเครื่องมือไม่โหวตให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”

เขายังสามารถแบ่งแยกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้สำเร็จ

แบ่งพรรคเพื่อไทยออกจากพรรคก้าวไกล

ตอนนี้คนที่เลือกฝั่งฟากประชาธิปไตย เหมือน “คนอกหัก”

ไม่นึกว่าพรรคที่กอดคอสู้กับเผด็จการด้วยกันจะมาแตกคอกันเอง

และเล่นเกมตาม ส.ว.

ส.ว.ว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น

แทนที่จะลุกขึ้นสู้กับกติกาที่ไม่เป็นธรรม

ผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกว่า “ผู้มีอำนาจ” เขาเก่งอยู่เรื่องหนึ่ง คือ การบริหารกิเลสของนักการเมือง

รู้ว่าใครอยากได้อะไร

รู้ว่าต่อมความอยากได้-อยากมี อยู่ตรงไหน

แล้วก็ใช้ความหอมหวลของ “อำนาจ” ให้เป็นประโยชน์

 

ตอนที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเริ่มแตกคอกัน

ผมนึก “เต๋อ” เรวัติ พุทธินันทน์ อดีตผู้นำทางจิตวิญญาณดนตรีของ “แกรมมี่”

ตอนที่ “ไมโคร” จะแตกวง

“ไมโคร” คือวงดนตรีที่เกิดจากความเป็น “เพื่อน” “หนุ่ย-กบ-ปู-อ้วน-อ๊อด-บอย”

เด็กหนุ่มจาก จ.ระยอง ที่ลุ่มหลงในเสียงดนตรีร็อก

และเข้ามาเดินล่าหาฝันในกรุงเทพมหานคร

“ไมโคร” ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จากเทป 3 ชุด

“ร็อคเล็กเล็ก – หมื่นฟาเรนไฮต์ และเต็มถัง”

ทั้ง 6 คนเป็นเพื่อนรักกันมานาน 10 ปี

ใช้เวลาตามล่าหาฝันร่วมกันอย่างเหน็ดเหนื่อย

แต่กลับมีเวลาชื่นชมกับความสำเร็จที่ลงแรงร่วมกันเพียงแค่ 4 ปี

555 เท่ากับช่วงเวลาที่พรรคเพื่อไทยและก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านเลยครับ

ยิ่งดัง ทุกคนเริ่มมีความเชื่อมั่นในตัวเอง

เริ่มมีการกระทบกระทั่งกัน

แบบต่างคนต่างคิดกันไปเอง

จนวันหนึ่ง “กบ” เป็นคนบอก “เต๋อ” ว่าทุกคนคิดกันแล้วว่าต้องการทำงานกัน 5 คน

ไม่ต้องการให้ “หนุ่ย” ร้องนำ

มีประโยคหนึ่งของ “เต๋อ” ที่ผมชอบมาก

เขาถามสมาชิก “ไมโคร” ตรงๆ

“ทำไมวะ พวกมึงเวลาทุกข์ ร่วมกันทุกข์ได้

สุขร่วมกันพวกมึงสุขร่วมกันไม่ได้”

เป็นประโยคที่ผมเชื่อว่าหลายคนคงอยากหันไปถามคนใน 2 พรรคการเมืองนี้เหมือนกัน

…ทำไมวะ

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ

www.facebook.com/boycitychanFC