‘นายกฯ นิด’ ส่ง ‘รมต.ปุ๋ง’ คุมกีฬา บทพิสูจน์ฝีมือพรรคเพื่อไทย จับตา ‘การเมือง’ ละเลง ‘วงการ’

รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ส่ง สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ใน “ครม.เศรษฐา 1

เจ้าของพื้นที่เดิมอย่าง พิพัฒน์ รัชกิจประการ จากพรรคภูมิใจไทยโยกไปนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

การเปลี่ยนแปลงในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา น่าจับตามองยิ่งนักเพราะเป็นการกลับมาทวงเก้าอี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในรอบ 17 ปีของพรรคเพื่อไทย หลังจาก ประชา มาลีนนท์ เป็นรัฐมนตรีคนสุดท้ายของพรรคเพื่อไทยที่ได้นั่งกระทรวงนี้ในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549

และเป็นการเปลี่ยนแปลงโควต้าจากพรรคภูมิใจไทยในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นพรรคเพื่อไทยใน “ครม.เศรษฐา 1”

 

สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล หรือชื่อเล่นว่า ปุ๋ง ปัจจุบันอายุ 41 ปี เป็นลูกสาวของ “กำนันป้อ” หรือ วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีต รมช.คมนาคม และ รมช.พาณิชย์ ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เจ้าของโรงแป้งเอี่ยมเฮงในจังหวัดนครราชสีมา และ ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา

เมื่อปี 2562 วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล นำทัพ ส.ส. การเมืองภายใต้สังกัดพรรคภูมิใจไทยย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทยก่อนการเลือกตั้งปี 2566 เพื่อร่วมงานกับ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมกับกวาดที่นั่ง ส.ส.นครราชสีมา ให้กับพรรคเพื่อไทย 12 ที่นั่งจากทั้งหมด 16 ที่นั่ง

ขณะที่ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ชนะการเลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยแรก ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 21 พรรคเพื่อไทย ซึ่งการประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีชื่อของ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดของรัฐบาลเศรษฐา 1 โดยเธอนั่งเก้าอีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

รมต.ปุ๋ง จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มีประสบการณ์การทำงานเป็นนักธุรกิจธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จจากการงานบริหารภาคเอกชนระดับประเทศและเติบโตอย่างรวดเร็ว ได้รับการยอมรับในแวดวงธุรกิจ

โดยเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท แป้งมันเอี่ยมเฮงอุตสาหกรรม จำกัด

 

ว่ากันว่า “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน ให้ความสำคัญกับเรื่องการท่องเที่ยวอย่างมาก เพราะเล็งเห็นว่าสร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างมหาศาล และทันทีที่ผ่านการโหวตให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

ภารกิจแรกที่ “นายกฯ นิด” ทำคือ บินไปลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต พบปะกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งนั่นเป็นการปรากฏตัวของ “ปุ๋ง” สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เคียงข้าง “นายกฯ นิด” อย่างเป็นทางการ

เศรษฐา ทวีสิน เคยประกาศนโยบายเรื่องการท่องเที่ยวเอาไว้ว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เปิดประตูรายได้ใหญ่อีกบานจากการค้าการลงทุน ด้วยการนำกลไกผู้แทนการค้าไทยกลับมาช่วยเจรจา FTA เปิดตลาดใหม่เพื่อเชิญนักลงทุนเข้ามาในประเทศอีกเรื่องที่ต้องดำเนินไปพร้อม ๆ กันคือ ประตูรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งเราจะพัฒนาเป็นภูมิภาคโดยดูองค์รวมทั้งหมด และให้ความสำคัญกับบริเวณภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง มีแนวคิดที่จะทำการท่องเที่ยวทั้งระบบให้น่าดึงดูด ทั้งค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เหมาะสม และระบบคมนาคมในภาพใหญ่คู่ขนานกันไปด้วย และให้วีซ่านักท่องเที่ยวจีน เป็นการชั่วคราวในช่วงไฮซีซั่นโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม

เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศให้ขยายตัว

 

ฝั่งคนวงการกีฬาได้แต่มองหน้ากันว่า วงการกีฬาของไทยจะเดินหน้ากันไปทิศทางไหน อย่างไร เพราะดูเหมือนว่า* “นายกฯ นิด”* จะมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวอย่างเดียวจนลืมไปว่า “งานกีฬา” ก็เป็นอีกพันธกิจของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เช่นกัน

“นายกฯ นิด” แม้ว่าจะมีมุมของกีฬาในเรื่องของฟุตบอลที่ “แตกฉาน” รู้จักคนวงการฟุตบอล แต่ย้ำว่า ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาเดียวของประเทศไทย

“นายกฯ นิด” ยังจำเป็นต้องศึกษาวงการกีฬาทุกองคาพยพอย่างแตกฉานเสียก่อน และย้ำถึง “นายกฯ นิด” อีกว่า กุนซือรอบกายสำคัญมาก หากได้คนแค่กลุ่มเดียว ด้วยความที่สนิทสนมกันอาจทำให้การตัดสินใจบางอย่างผิดเพี้ยน บูดเบี้ยว บางเรื่องราวอาจไม่เข้าท่า ออกทะเลจนทำลายวงการกีฬาทางอ้อมก็ได้

จึงอยากย้ำอีกรอบว่า “นายกฯ นิด” ต้องรับฟังทุกปัญหาของวงการกีฬาอย่างรอบด้าน คนวงการกีฬามันมีทั้งทำเพื่อวงการ ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง พรรคพวก พี่น้อง เขี้ยวลากดิน ทำลายฝ่ายตรงข้ามไม่ต่างอะไรกับการเมืองสนามใหญ่

 

วงการกีฬามีภารกิจหลายเรื่องเร่งด่วนที่ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ในฐานะ รมต.การท่องเที่ยวและกีฬา ต้องทำงานควบคู่ไปกับ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ

ไม่มีเวลาจะมานั่งทะเลาะกัน ขัดแข้งขัดขากัน

เร็วๆ นี้มหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่นครหางโจว ประเทศจีน ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว กลับมาก็ยังมีเรื่องของงบประมาณประจำปี 2567 ของหน่วยงานในสังกัดทั้งการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), กรมพลศึกษา, มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ (มกช.)

อีกทั้งยังต้องศึกษาพันธกิจของ “กีฬาเป็นเลิศ” และ “กีฬาอาชีพ” อย่างถ่องแท้อีกเพราะทุกวันนี้งบประมาณหลายๆ กระเป๋าของ กกท.ยังมีปัญหา การบริหารจัดการงบประมาณภายในองค์กรใหญ่อย่าง กกท. ดูจะสับสนผิดพันธกิจจนทำให้งบประมาณขาดมือตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา

จากนั้นยังมีเรื่องการเตรียมการเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์ และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพต้นปี 2567 และการเตรียมการเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม พ.ศ.2568/ค.ศ.2025 ของประเทศไทย ต้องเริ่มตั้งคณะกรรมการอำนวยการ/คณะกรรมการจัดการแข่งขัน พร้อมกับขับเคลื่อนงบประมาณสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กันได้แล้ว

เวลา 2 ปีที่เหลืออย่านึกว่านานนะ มืออาชีพทั้งในยุโรป และเอเชีย ที่เขาจัดกันเขาเตรียมการทำงาน ปรับปรุงสนาม ปรับภูมิทัศน์สถานที่ สนามกีฬา ไว้เนิ่นๆ ล่วงหน้ากัน 3 ปีขึ้นไป แต่ที่ผ่านมาเราทำงานกันแบบไทยแลนด์ ใช้วิธี “ผักชีโรยหน้า” กันมาตลอด เลยนึกว่าเป็นเรื่องปกติ

แต่ขอให้ในยุคของ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ “รมต.ปุ๋ง” สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล จะคิดเป็น ทำงานเป็น และมีแนวทางแบบมืออาชีพ

ไม่ใช่มาเล่นการเมืองในวงการกีฬากันแบบเดิมๆ… •

 

เขย่าสนาม | เงาปีศาจ