มองชาติเอเชียผ่านบอลโลก ก้าวที่ไทยยังห่างชั้นหลายขุม

แม้ว่าก่อนที่ ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศ กาตาร์ จะเริ่มฟาดแข้งกัน เราจะเห็นว่ากระแสของฟุตบอลโลกครั้งนี้ดูเงียบเหงา แต่พอเริ่มแข่งกันมาก็เห็นได้ว่าโฟกัสของทุกคนไปอยู่ที่การชิงชัยในสนามแข่งแทบทั้งสิ้น

แต่จุดหนึ่งที่น่าสนใจเลยในฐานะแฟนฟุตบอลชาวไทย คือการดูฟอร์มของทีมร่วมทวีปเอเชีย ที่ไปต่อกรกับทีมระดับโลกกัน

ซึ่งในฟุตบอลโลกครั้งนี้ นับว่าน่าสนใจสำหรับชาวเอเชียอย่างมาก นอกเหนือจากการจัดในทวีปเอเชีย ที่ประเทศกาตาร์แล้ว ยังเป็นครั้งที่มีทีมผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายมากถึง 6 ทีมด้วยกัน มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากทวีปยุโรปเลยด้วยซ้ำ มากกว่าทวีปอเมริกาใต้ด้วยซ้ำ

 

ส่วนหนึ่งนอกจากโควต้าอัตโนมัติ 4 ทีม ยังมีเจ้าภาพกาตาร์ที่ได้โควต้าในฐานะเจ้าภาพ และยังมี ออสเตรเลีย ที่หักด่าน เปรู ในรอบเพลย์ออฟ กลายเป็นทีมที่ 6 ที่ได้เข้าร่วมฟุตบอลโลกครั้งนี้

แม้ว่าเปิดหัวมา 2 วันแรก ทั้งกาตาร์ ที่พ่ายให้กับเอกวาดอร์ 0-2 และ อิหร่าน ที่โดน “สิงโตคำราม” อังกฤษ ถล่มไปถึง 6-2 ทำให้เกิดคอมเมนต์ออกมาว่าระดับเอเชียยังอยู่ห่างชั้นกับระดับโลกนัก

แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นตัวแทนจากเอเชียก็แสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่หมูในอวยที่จะมาเปิดหน้าถล่มกันเหมือนสมัยก่อนๆ อีกแล้ว

ทั้ง “เศรษฐีน้ำมัน” ซาอุดีอาระเบีย ที่หักปากกาเซียนทุกสำนัก ด้วยการล้ม “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนตินา ที่มี ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะเบอร์ 1 ของโลกอยู่ ด้วยฟอร์มการเล่นและแผนการเล่นที่ต้องเรียกว่าเวิลด์คลาส จนสามารถดักล้ำหน้าฟ้า-ขาวถึง 8 ครั้งในครึ่งแรก

หรือความใจสู้ไม่ยอมแพ้ของ “ซามูไรบลูส์” ญี่ปุ่น ที่พลิกสถานการณ์จากการตามหลัง “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ในครึ่งแรก กลับมาเอาชนะ 2-1 ได้ในครึ่งหลังแบบสะใจคนดูไปตามๆ กัน

ขณะเดียวกันอิหร่านที่แม้ว่าจะแพ้ให้อังกฤษในนัดแรกมา แต่ก็กลับมาแสดงให้เห็นถึงความเป็นเบอร์ 1 เอเชีย ด้วยการเอาชนะ “มังกรแดง” เวลส์ ไปแบบสุดมัน 2-0 ล้างภาพจากนัดแรกที่โดนถล่มไปได้อย่างอยู่หมัด

เช่นเดียวกับ “ซ็อกเกอร์รูส์” ออสเตรเลีย (เอเชียที่ไม่ใช่เอเชีย) แม้ว่านัดแรกจะโดน “ตราไก่” แชมป์เก่า ถล่มยับเยินถึง 4-1 แต่ก็มาเอาชนะตูนิเซีย จนมีโอกาสเข้ารอบได้

 

จากวันที่ปิดต้นฉบับเล่มนี้ คงยังบอกไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วจาก 6 ทีมเอเชีย จะมีผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายไปได้สักกี่ทีม หรือต่อให้ไม่มีเลยก็ตาม แค่ผลงานในแต่ละเกมของพวกเขาในรอบแรก ก็เป็นการประกาศศักดาแล้วว่าเอเชียไม่ใช่ลูกไล่บรรดาทีมจากยุโรป, อเมริกาใต้ หรือแอฟริกาอีกแล้ว

ทว่า เขียนไปก็รู้สึกได้ว่า ระดับของฟุตบอลเอเชีย กับ ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ในตอนนี้ช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

ในขณะที่บรรดาทีมจากเอเชีย ไปฟาดฟันกับทีมระดับโลกได้อย่างสูสี และประทับใจกองเชียร์ไม่ใช่แค่ประเทศตัวเอง ทว่า ฟุตบอลไทยกลับยังพายเรืออยู่ในอ่าง กับกับดักความสำเร็จในระดับภูมิภาค ที่ทำให้ทีมไม่ไปไหนเสียที

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้กับปัญหาเรื่องการเตรียมทีมชุด ซีเกมส์ ที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ สั่งเลื่อนโปรแกรมลีกให้จบเร็วขึ้น เพื่อให้โปรแกรมไม่ชนกับซีเกมส์ จะได้เตรียมทีมให้ดี ตามคำสั่งเบื้องบนที่กดดันมาว่าต้องได้แชมป์เท่านั้น ยังดีที่บรรดาเหล่าสโมสรสมาชิกคัดค้าน ทำให้ต้องกลับมายึดโปรแกรมตามเดิม

ลองเปรียบเทียบแบบง่ายๆ กับประเทศญี่ปุ่น ที่ก่อนหน้านี้มีการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียกลาง (เจอกับพวกเกาหลีใต้, จีน, ไต้หวัน) พวกเขาเลือกใช้แต่นักเตะที่เล่นอยู่ในประเทศ และส่งรุ่นอายุน้อยกว่าเกณฑ์ไปแข่งขัน โดยที่ไม่เห็นต้องมีการหยุดลีกเลย

หนำซ้ำเมื่อเรามาดูฟุตบอลโลก เราจะเห็นรายชื่อนักเตะญี่ปุ่นล้วนแต่เล่นอยู่ในยุโรปแทบทั้งสิ้น แค่เวลาฟังตอนพากย์แล้วบอกว่านักเตะคนนี้เล่นอยู่ในทีมจากยุโรป มันก็น่าภูมิใจสุดๆ แล้ว

แต่เรื่องแบบนั้นคงไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในเร็วนี้แน่นอน

 

อีกจุดหนึ่งที่สำคัญเลย คือฟุตบอลโลกครั้งหน้า ในปี 2026 จะเพิ่มจำนวนทีมเป็น 48 ทีม และทวีปเอเชียจะได้โควต้าอัตโนมัติมากถึง 8 ทีม และยังมีโควต้ารอบเพลย์ออฟอีก 1 ทีม

แต่จนถึงป่านนี้เรายังไม่เห็นการวางแผนในระยะยาวของทีมชาติไทย เพื่อหวังจะไปฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย อย่างที่ปากพูดกันว่าอยากจะไปเล่นฟุตบอลโลกเลย

เอาง่ายๆ แค่ในระดับฟุตบอลเยาวชนตอนนี้ จะคว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียรอบสุดท้าย ยังต้องลุ้นแล้วลุ้นอีก หวังพึ่งชาวบ้านบ้าง หรือใช้โชคชะตาเข้ารอบบ้าง แล้วจะไปหวังอะไรกับการไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

ในขณะที่เราดูฟุตบอลโลกกันครั้งนี้ ได้เห็นกองเชียร์ของแต่ละประเทศ เดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเล ไปให้กำลังใจประเทศตัวเองแบบติดขอบสนาม แต่กองเชียร์ไทยคงได้แต่ลุ้นว่าจะได้ชมผ่านทางทีวีหรือไม่ไปก่อน

เพราะตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่คิดที่จะเริ่มพัฒนาฟุตบอลในระดับเยาวชนอันเป็นรากฐานสำคัญของทีมชาติ ต่อให้มีการเพิ่มโควต้าเอเชียเป็น 16 ทีม ประเทศไทยก็ยังยากที่จะคว้าโควต้าไปร่วมแข่งขันได้เลย

ฟังแล้วมันก็น่าเจ็บใจไม่น้อยเลยนะเนี่ย •